พิจารณาดวงไทยแบบโบราณ ๑
กัลยาณมิตรอันเป็นที่รัก
ห่างหายกันไปนานกับการพิจารณาดวงชะตาบุคคลด้วยวิชาโหราศาสตร์ไทย เพราะสุขภาพร่างกายที่มีโรคภัยเบียดเบียน
ทุกขเวทนาทางกายคอยรุมเร้าทรมานกับกายสังขารที่เป็นรังแห่งโรคนี้
จนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจต่างๆ โดยเฉพาะงานในหน้าที่ซึ่งตอนนี้ใจหนึ่งก็เป็นห่วงอย่างมาก
เสมือนทำงานได้ไม่เต็มที่เต็มความสามารถ
แต่ก็ด้วยผู้บริหารและผู้บังคับบัญชายังให้ความเมตตา
จึงได้พักรักษาตัวให้มีอาการดีขึ้น ซึ่งก็ทุเลาเบาบางลงไปบ้างอย่างเนิ่นช้า
เป็นเหตุให้ระลึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา
ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ถือว่าเป็นความสัจจริงนัก
คนเรานั้นหากไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนเสียแล้ว
ความคล่องตัวในการประกอบกิจต่างๆ ย่อมมีความสำเร็จโดยง่าย
แต่กระนั้นฤๅ..ใครบ้างเล่าที่ไม่เจ็บไม่ป่วย?
หมอที่เก่งสักปานใดรักษาโรคหิวได้หรือไม่? หมอที่เก่งสักปานใดรักษาโรคตายได้ไหม?
นี่ก็เป็นข้อที่น่าจะครวญคิดพิจารณาเพื่อให้เกิดความปลงในทุกข์จากความเป็นไปในโลกียวัฏฏสงสารนี้ได้เป็นอย่างดีเหมือนกัน
อารัมภบทมาเสียมาก
คราวนี้มาเข้าเรื่องการพิจารณาดวงชะตาด้วยวิชาโหราศาสตร์ไทย
ต่อเมื่อได้เกริ่นไปถึงเรื่องสุขภาพโรคภัยไข้เจ็บวันนี้ก็คงจะไม่หมดไม่สิ้น
มาเข้าสู่การพิจารณาดวงไทยแบบโบราณซึ่งท่านมีหลักเกณฑ์เหตุผลในการใช้อ่านดวงชะตาอยู่หลายรูปแบบ
ในครั้งนี้ขอยกเอามาสักอย่างหนึ่งพอเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังตามประสาผู้สนใจใคร่รู้โหราศาสตร์ไทย
ข้อมูลกำเนิดของเจ้าชะตานั้นเป็นเพศหญิง สุริยคติกาล
วันศุกร์ ที่ ๑๖ เดือน เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๑
เวลา ๐๘.๕๗ น. กรุงเทพมหานคร จันทรคติกาล วันศุกร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีชวด
จุลศักราช ๑๓๑๐ เฉลิมรูปดวงได้ดังนี้
การพิจารณาดวงชะตาในครั้งนี้ จะได้นำเอา
ตนุเศษ เข้ามาร่วมใช้เป็นหลักในการตั้งเรือนใช้ดาวเกษตรเรือนในไปลอยอยู่ในเรือนนอกชั้นหนึ่ง
ให้มีความสัมพันธ์กับดาวเกษตรเรือนในด้วยกันชั้นหนึ่ง
และให้มีความสัมพันธ์กับเรือนลัคนาและเรือนตนุลัคน์อีกชั้นหนึ่งด้วย
สมอภิเปรยเอ่ยอ้างถึงท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ที่ว่าการพิจารณาดวงชะตานั้นต้องดู ๓ ขา
คือ ลัคนา ตนุลัคน์ และตนุเศษ ทำให้นึกไปถึงกระถางธูปของคนจีนที่มีสามขา
หากขาใดขาหนึ่งหักไปกระถางก็จะล้มลงทันทีโดยที่สองขาที่เหลือนั้นมิอาจพยุงไว้ได้
ความนี้ท่านเปรียบสำคัญเป็นมั่นถึงการพิจารณาดวงแบบ ๓ ขาดังกล่าว
ว่าจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ เป็นกิจที่นักพยากรณ์ทั้งหลายพึงศึกษาให้ละเอียด
รอบคอบ และแตกฉานในการใช้ ส่วนในสายของฉันท่านเรียกว่า ขัดตาเรือน
โดยมีจุดกำเนิดดั่งดวงสามขานี้แล้วจึงตั้งเรือนพิจารณาหาเอาความหมายได้กว้างขึ้นและขัดลง(พิจารณา)ให้จำเพาะสอบเข้ากับเรื่องราวของเจ้าดวงชะตา
เพื่อมิให้พูดพล่ามอารัมภบทไปมากกว่านี้
ขอเข้าเรื่องเพื่อให้เห็นเนื้อวิชาอันเป็นบาทของการพิจารณาตามที่โหรโบราณท่านเก่าๆ
ได้ใช้กันมา ดังดวงชะตานี้มี อาทิตย์เป็นตนุเศษอยู่ราศีเมษ(อุจ) ตนุเกษตรคืออังคาร
ไปสถิตอยู่ที่ราศีกรกฏ(นิจ) ในเรือนสหัสชะลัคน์ ตนเองมีความก้าวหน้าสำคัญแต่เสียไปด้วยวงสังคมที่ตนมีคนรายล้อมทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง
ทำบุญทำคุณคนไม่ขึ้น อุปถัมภ์ช่วยเหลือเลี้ยงดูผู้คนไม่ได้
มักจะมีเหตุเสื่อมเสียเพราะบุคคลเหล่านั้น
โดยที่ฝ่ายเจ้าชะตาเองเสียเปรียบและก็เป็นฝ่ายยอมเพื่อให้ผ่านพ้นเสียทุกครั้งไป
ข้อนี้จึงเป็นประสบการณ์สั่งสมหล่อหลอมตัวของเจ้าชะตาเป็นอย่างดี
ในที่นี้อังคารยังร่วมเสาร์เจ้าเรือนกัมมะเกษตร(ประ) กล้าแข็งขยันทายอังคาร
อังคารร่วมเสาร์(ประ)เจ้าเรือนการงาน
เจ้าชะตาจึงมีความขยันมุมานะอดทนในการทำกิจการงาน แม้การ งานนั้นจะให้ผลทีละน้อยในระยะยาว
ประกอบกับความผันผวนขึ้นๆลงๆ มีความเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงาน
มีการกลั่นแกล้งเบียดเบียนในอาชีพ
เจ้าชะตาก็ยังมีความอดทนมุมานะแข็งขันดันหน้าไปเรื่อย
มือเท้าสติปัญญาของตนเป็นกำลังหวังพึ่งจมูกคนอื่นมาหายใจได้ยาก เมื่อถึงช่วงวัยหนึ่งลักษณาการดังกล่าวเริ่มให้คุณ
เจ้าชะตาจึงมีความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ด้วยดาวคู่นี้ส่วนหนึ่ง (อังคารร่วมเสาร์ในพันธุเกษตร=การมุ่งกระทำเพื่อผลความมั่นคงระยะยาวในชีวิต
ครอบครัว ฐานะ ความเป็นอยู่)
พิจารณาศุกร์อันเป็นกดุมภะเกษตรสถิตราศีพฤษภ(เกษตร)
เป็นเจ้าเรือนตนุลัคนา
เจ้าชะตามีความต้องการและตั้งใจเป็นกำลังในการแสวงหาเงินทองที่ดินทรัพย์สินรายได้ต่างๆ
เพื่อให้เกิดมั่นคงในชีวิตจากวันเริ่มต้นจนถึงวันประสบความสำเร็จของชีวิตในระดับหนึ่ง
แม้จะมีคู่เรียงเคียงหมอนแต่ก็มีอุดมการณ์ในการทำมาหาได้เป็นของตนเอง ดีมิดียังต้องจูงจมูกคนอื่นให้เดินตามเสียด้วยซ้ำ
หนักหน่วงแต่ก็อดทนเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายโดยมิเกิดความย่อท้อ(มีวิสัยทัศน์สู้ชีวิตแบบคนหัวโบราณ)
ลำบากเสียคราวหนึ่งก่อนแล้วจึงมีความราบรื่นคล่องตัวตามมาในภายหลัง
เมื่อเข้าที่อับคับที่จนจะมีหนทางแก้ไปหรือบุคคลเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
แต่เจ้าชะตามักเกรงใจเป็นอันมากต้องการยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้
มากกว่าที่จะยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ (อย่าลืมว่า อาทิตย์ เป็นตนุเศษ)
แล้วทีนี้มาพิจารณาหลักฐานความมั่นคงของชีวิตเจ้าชะตา
พิจารณาดูที่ พันธุ อันหมายถึงความมั่นคงของชีวิตที่ตนได้กระทำสั่งสมเพียรพยายามสร้างหาหรือของเก่ามีมาให้ต่อยอดในภายหลัง
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว บ้านเรือน สังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน ฯ
มีอังคาร(นิจ)มาจากเรือนตนุและมรณะทางตนุเศษ
เจ้าชะตามีความเพียรมากขึ้นกว่าคนอื่นหลายเท่ากว่าจะได้มาซึ่งความมั่นคงของชีวิต
ด้วยความลำบากเหน็ดเหนื่อย การกระทำที่ต้องลงแรงต่อสู้ฝ่าฟัน
พร้อมกันนั้นยังทีเสาร์(ประ)จากเรือนกัมมะเกษตร
การกระทำดังกล่าวนั้นเจ้าชะตาต้องอาศัยความอดทนในการกระทำสิ่งลงทุนลงแรงมาก
แต่ได้ผลกลับมาน้อย
มีอารมณ์ความจริงจังมุ่งกระทำในสิ่งที่ตนตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างไม่วางธุระ
พิจารณาเจ้าเรือนพันธุเกษตรคือ จันทร์ สถิตอยู่เรือนสหัสชะเกษตรร่วมกับมฤตยู
เจ้าชะตามีรูปแบบการปรับเปลี่ยนพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น
ซึ่งก็มีความผันผวนขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา พลิกแพลงตามจังหวะทีละน้อย
เมื่อเห็นช่องทางดีแล้วจึงมุ่งเฉพาะหน้าให้มีความมั่นคงสั่งสมไป
พอถึงตามช่วงวัยช่วงอายุที่เหมาะสม
สิ่งที่เรียกว่าเป็นหลักฐานหลักทรัพย์นั้นเกิดมีขึ้นทีละก้าว
ตั้งใจอะไรไว้ต้องได้ด้วยความเพียรพยายามไม่ลดละแม้จะล้มเหลวก็ลุกหันกลับมาสู้ใหม่
แม้ไม่มีใครให้ความสนับสนุนส่งเสริมในคราวแรก
เมื่อบ้างท้ายมีผู้ให้ความส่งเสริมอุปถัมภ์
เหตุเพราะเอกลักษณะของความตั้งใจจริงนั้นเอง ตรงนี้หากเห็น อังคารและเสาร์ เป็นคู่ศัตรูและตกสถานภาพคือเป็นประเป็นนิจ
แล้วอ่านความหมายเข้ามาทำลายฐานะความเป็นอยู่คงมิใช่ความหมายที่ตรงประเด็นสักเท่าไรนัก
แม้จะเป็นความจริงอยู่บ้าง แต่โหราศาสตร์ไทยโบราณเราอ่านในลักษณะ “เสริมกัน” มิได้อ่านในลักษณะเชิง “หักล้าง” เพราะจะทำให้ตันความหมายได้ง่ายและไม่ค่อยจะตรงกับความเป็นจริงของชีวิตทั้งหมด
จึงต้องพิจารณาให้มากในการพยากรณ์ในทางที่เสริมกัน
อย่างดวงนี้เมื่อช่วงวัยผ่านไปมากความมั่นคงในชีวิตย่อมมีมากขึ้นตามกาลเวลา
หากอ่านในเชิงหักล้างเจ้าชะตาคงมิได้มีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงในชีวิตเป็นแท้
การอ่านในเชิง “เสริมกัน” ตามหลักโหราศาสตร์ไทยนี้จึงต้องตระหนักไว้ให้มาก
ต่อไปพิจารณาดวงคู่ครองของเจ้าชะตา
ดูที่ปัตนิเกษตรคือดาวศุกร์ ไปสถิตเป็นกดุมภะตนุเศษ และสถิตกุมลัคนาเดิม
เจ้าชะตาได้คู่ครองที่มีฐานะดี หรืออีกอย่างคือได้คู่ครองที่เสริมส่งร่วมกันแสวงหาทรัพย์สินความมั่นคงของชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าชะตา
ศุกร์ปัตนิเกษตรนี้ยังเป็นดาวบริวารกุมลัคนา
เจ้าชะตาจึงมีความเกี่ยวข้องดูแลความเป็นครอบครัวในการตัดสินใจหรือประเมินสิ่งใดที่จะลงมือกระทำ
ที่จะได้ที่จะมี เรียกว่าเป็นผู้จัดการความเป็นอยู่ดูแลความเรียบร้อยของครอบครัว
ปัตนิเดิมคืออังคาร(นิจ)และเป็นเจ้าเรือนวินาสเดิมด้วยในเรือนสหัสชะ
ร่วมเสาร์(ประ)เจ้าเรือนศุภะ ความหนักเหนื่อยในหลายเรื่องไม่เป็นไปตามเป้าหมายของชีวิต
จึงปรากฏให้เจ้าชะตามีความรับผิดชอบมากกว่าคู่ครอง
แล้วในช่วงเวลาหนึ่งความเป็นคู่ครองนั้นต้องแยกทางกันไป(๗ และ ๓
คู่แตกแยก,ในความสัมพันธ์(สหัสชะ))
หน้าที่การงานคือเสาร์(ประ)กัมมะเกษตร
สถิตเรือนพันธุตนุเศษ ร่วมอังคาร(นิจ)เป็นตนุเกษตรและมรณะเกษตร
การงานเป็นที่หนักเหนื่อยมีอุปสรรคปัญหาให้ได้แก้ไขทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว
มีล้มลุกคลุกคลานเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งหลายครากว่าจะตั้งตัวขึ้นได้
มาดูทางลัคนากันบ้าง เจ้าเรือนกัมมะคือราหู(เดิมในสายของฉันใช้เสาร์ลมเป็นเกษตรราศีกุมภ์ตามอย่างพ่อทวด
ต่อมารับเอาราหูมาใช้ตามมติของคณาจารย์โหรหลายท่าน
เห็นว่าผลการพยากรณ์เป็นที่พอใจจึงนำมาใช้เรื่อยมา) สถิตวินาส ส่งผลย้ำเรื่องของความผกผันเปลี่ยนแปลงในเรื่องการงาน
ร่วมอาทิตย์(อุจ)อันเป็นเจ้าเรือนพันธุและเป็นตนุเศษด้วย
และพุธเจ้าเรือนกดุมภะและปุตตะ
เรื่องของหน้าที่การงานจึงมีความเปลี่ยนแปลงด้วยอุปสรรคปัญหา
ส่งผลต่อความเป็นอยู่รายได้การจับจ่ายใช้สอย
พิจารณาราหูเป็นฉายาเคราะห์ที่มีความหมายทางด้านการประยุกต์เปลี่ยนแปลง(๘)
ด้วยความรู้ความสามารถทักษะเฉพาะด้านหรือความถนัดของตนเอง(๑+๔)
จึงผลักดันให้เจ้าชะตาต้องต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคหนักหน่วงนานาประการกว่าจะตั้งหลักฐานมั่นคง
เราจะเห็นได้ว่าความหมายในเชิงพยากรณ์ทางลัคนาและตนุเศษนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
อันเป็นเอกลักษณ์ของโหราศาสตร์ไทยโบราณที่ใช้การอ่านแบบ “เสริมกัน”
ทำให้ได้ภาพความหมายที่มีความชัดเจนและสามารถขยายต่อยอดออกไปได้ทั้งในเชิงกว้างความหมายกลางๆและในเชิงลึกคือความหมายเชิงจำเพาะเจาะจงลงไปตามเรื่องราวที่เราประสงค์จะทราบ
ซึ่งการอ่านแบบ “หักล้าง” กันนั้น
ความหมายที่ได้ดูเหมือนจะชัดเฉพาะ แต่เมื่ออ่านต่อไปเรื่อยๆ ความหมายเกิดความขัดแย้งกัน
ส่วนหนึ่งดีส่วนหนึ่งร้ายความหมายค้านกันเอง
ไม่รู้จะตัดสินความหมายออกมาเป็นคำพยากรณ์อย่างไร จนในที่สุดก็ “ตัน” ความหมายขยายต่อไปไม่ได้
ต่างจากการอ่านความหมายแบบ “เสริมกัน”
ซึ่งให้ภาพความหมายได้ชัดเจนกว่าทั้งในด้านดีและด้านร้าย
บางท่านเข้าใจว่าการอ่านเสริมกันนั้นความหมายจะต้องออกมาดีอย่างเดียว
ซึ่งความจริงความหมายนั้นมีทั้งด้านดีและด้านร้าย
แต่สามารถสืบเสาะความหมายขยายออกไปได้ ไม่เป็นคำตอบชนิดกำปั้นทุบดิน
ที่ว่าดีนั้นดีอย่างไร ที่ว่าร้ายนั้นร้ายอย่างไร มีสิ่งใดเป็นมูลความหมายที่จะพยากรณ์ออกมาได้
เอกลักษณ์นี้จึงเป็นการอ่านดวงชะตาที่ยกเป็นศิลปะการพยากรณ์เลยทีเดียว
ผู้ศึกษาโหราศาสตร์ทั้งหลายจึงจำเป็นต้องฝึกฝนการอ่านความหมายในเชิง “เสริมกัน” นี้ให้มีความคล่องตัวและถนัดในการใช้
เมื่อเห็นรูปดวงก็จะทำให้ทราบความเป็นไปของเจ้าชะตาได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ก่อนที่จะพิจารณารายละเอียดต่างๆ ลงไป
เป็นการสร้างความประทับใจเบื้องแรกให้มีขึ้นระหว่างผู้มาขอรับการพยากรณ์ได้อย่างดี
มากกว่าที่จะเห็นนักโหราศาสตร์เพ่งพินิจพิจารณาตั้งแต่ขั้นวางปูมดวง
จนถึงการอ่านรูปดวงเพื่อหาความหมายในใจอันเป็นเวลานาน
ซึ่งเขาก็ไม่ทราบว่านักพยากรณ์ “ทรงภูมิ” หรือ “อมภูมิ”
หรือนิ่งโด่เป็น “ศาลพระภูมิ”
กันแน่(ฮา)
ท้ายที่สุดแห่งบทความนี้
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ราบรื่น รุ่งเรือง ร่ำรวย
มีความแตกฉานในโหราศาสตร์ เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยกันถ้วนทั่วทุกท่านเถิด .
ธีรพร เพชรกำแพง
๙
มิถุนายน ๒๕๕๖