บ่อยครั้งที่หลังจากพิจารณาดวงชะตาจนสำเร็จเสร็จขั้นตอนกันไปแล้ว
ก็อดมานั่งคิดวิตกกังวลตามเหตุปัญหาความทุกข์ของเขา
ยิ่งคิดก็ยิ่งสาวเอาเหตุผลมาพันกัน "ทุกข์กับเขา" ไปเสียอีกด้วย
เป็นอยู่บ่อย
ครั้งหนึ่งคิดแบบนี้อยู่
ท่านลอยๆมาแล้วบอกว่า
ที่ทุกข์อยู่นี่คิดหรือว่าจะไปจัดการแก้ไขปัญหาชีวิตให้ใครเขาได้
"กรรมใครกรรมมัน" อย่าเอากรรมไปข้องเกี่ยวกันเลย
ถามท่านว่าทำอย่างไรจึงจะไม่คิดทุกข์ไปตามเขา
ท่านว่า เอาอย่างนี้นะ ให้แผ่เมตตาผลานิสงส์ให้เขา ใจเราจะได้ไม่หนัก
ไม่ทุกข์กังวล ได้ประโยชน์หลายสถาน เราได้เจริญอัปปมัญญากรรมฐาน
ผลานิสงส์ที่แผ่ไปย่อมมีกำลังช่วยเหลือคนที่เราวิตกกังวลถึงนั้นให้ผ่อนหนักเป็นเบากลับร้ายกลายดีได้
ให้ปฏิบัติอย่างนี้ด้วยนะ คือให้นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เทพยุดาเจ้าเหล่าพรหม อำนาจแห่งคุณทาน ศีล สมาธิ
ที่ได้สั่งสมมา แล้วแผ่อานิสงส์ถึงคนที่มารับสงเคราะห์จากเราทั้งหลาย
แผ่ด้วยอารมณ์ใจที่สุขสบายปรารถนาดีไปหาเขา อย่างนี้เกิดผลดีคือเราไม่ฟุ้งจิตเป็นสุข
และอานิสงส์ที่แผ่ไปให้เขานั้นย่อมช่วยเหลือเขาได้ไม่มากก็น้อย
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
จากนั้นมาหลังจากการพยากรณ์ดวงชะตาเสร็จกิจเฉพาะหน้าแล้ว
ก็จะนั่งสมาธิทำอารมณ์จิตให้สงบเป็นสุข จากนั้นแล้วแผ่ผลานิสงส์จนอารมณ์เอมแก่ใจ
จึงนำขันใส่น้ำลงไปกรวดแผ่อุทิศตามที่ท่านแนะนำไว้ทุกครั้ง
จิตใจก็สบายไร้วิตกกังวลลงไป และคิดว่าผลานิสงส์ที่ว่านั้นคงส่งผลได้จริง
เพราะคนเหล่านั้นไปมาหาสู่ฉันอยู่ตลอด
และรำลึกถึงเมื่อมีเหตุใดๆก็มักจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
..นี่!
อารมณ์ใจความปรารถนาดีต่อผู้อื่นมีผลมากขนาดนี้
ก็เป็นการสมควรที่หมอดูอย่างเราท่านทั้งหลายต้องกระทำไว้เป็นปกติ
ให้อะไรเขาไม่ได้..ก็ให้ด้วยใจผลานิสงส์นี้แหละ คิดให้บ้าง
อย่าไปหวังรับค่ากำนลเงินพานครูแต่เพียงอย่างเดียว
ความเป็นบุคคลอันเป็นที่รักของเราปรากฏได้ก็ด้วยเหตุเหล่านี้อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ธีรพร
เพชรกำแพง
๔ เมษายน ๒๕๕๗