เรื่องราวชีวิตของคนเรานั้นมีมากมายหลายประเด็น
การยกความเห็นแง่มุมจากดวงดาวเพื่อเล่าเรื่องราวความเป็นชีวิตของ
"ดวงคน" นี้ จึงมีความหลากหลายในรูปแบบของการพยากรณ์ ดวงดาวมี
"อธิปไตย" อยู่เต็มพร้อมและไม่เคยหยุดหน้าที่ในการให้ผลบุญคุณโทษต่างๆแก่ดวงชะตา
ท่านเปรียบอารมณ์ของคนเรานั้นมีอารมณ์แห่งความพอใจและไม่พอใจเป็นส่วนน้อย
ส่วนอารมณ์ "เฉยๆ" มีมากกว่าหรือเป็นส่วนใหญ่
เช่นเดียวกับในดวงชะตาของคนเราที่ปกติมันก็จะ "เฉยๆ" ของมันอยู่เรื่อยๆ
พอมีสิ่งเร้าก็จะเกิดสิ่งที่ "พอใจ" หรือสิ่งที่ "ไม่พอใจ"
ขึ้น ที่เรามักเรียกว่า "โชคเคราะห์"
ซึ่งเราถือว่าเป็นลักษณะดวงที่เกิดขึ้นน้อย
แต่ให้ผลซึมซาบตรึงใจมากกว่าดวงที่มีลักษณะ "เฉยๆ"
แต่ดวงคนเรานั้นมันไม่ได้ชั่วตลอดปีดีตลอดศก สิ่งที่จะเป็นเหตุร้ายหรือดีจะมี
"เงื่อนไขดวงชะตา" และ "เงื่อนไขเวลา" เป็นตัวบ่งบอกให้ทราบ
แต่เมื่อว่างจากนั้นดวงชะตามันก็จะเข้าสู่ภาวะปกติคือ "เฉยๆ"
อยู่นั่นเอง
อย่างกรณีที่ดาวพฤหัสจรมาในสถานที่ให้คุณกับดวงชะตาโดยมีช่วงเวลาการโคจรอยู่จุดนั้นถึง
๑ ปี แต่พิจารณาว่าความเด่นดีที่ได้นั้นมันแสดงอาการอยู่ตลอดปีหรือไม่
และเสาร์ที่อยู่ในจุดที่ให้โทษนั้นแสดงอาการเป็นโทษทุกวันตลอด ๒ ปีครึ่งหรือไม่
ก็ปรากฏว่าเหตุการณ์ดีร้ายไม่ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดกาลสมัยในอิทธิพลของดวงดาวนั้นๆ
แต่จะเกิดขึ้นตามเงื่อนไขดวงชะตาและเวลาอย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น
การมุ่งเอาดวงดาวเป็นที่หมายแห่งการพยากรณ์ทำนายชีวิตคน
จึงต้องคำนึงถึงเหตุที่ควรเกิดหรือไม่ควรเกิดด้วยปัจจัยต่างที่ให้ผลในดวงชะตา
การจะสำทับเรื่องดีร้ายว่าให้ผลโดยไม่มีสิ่งใดที่จะมาทัดทานกันย่อมไม่ถูกไม่ควร
เพราะต้องไม่ลืมว่าดวงชะตาคนเรานั้นมีความ "สมดุล" ของตนเอง
มีดีร้ายทัดทานสมดุลให้เกิดความ "พอดี" แก่ความเป็นไปในชีวิตของแต่ละคน
เมื่อดวงชะตาเสียสมดุลดังกล่าวความเป็นชีวิตนี้คงไม่มีอัตภาพความคงอยู่อีกต่อไป
หรือเรียกว่าไร้ความหมายที่จะพยากรณ์
คือดวงชะตาของผู้ไม่ข้องอยู่กับโลกแล้ว(พระอริยบุคคล) คนบ้าเสียจริต
และเสียสมดุลถึงขั้นไม่อาจยังอัตภาพนี้ได้คือตายไปเลยนั่นเอง