24 กันยายน 2555

บ่นความโหราศาสตร์ เรื่อง สะเดาะเคราะห์..หรือ..จะต่อเคราะห์

ต่อชีวิตพิสดาร เรียกค่าครูเรือนหมื่น...
ร่างทรงกระทืบยายปางตาย อ้างเจ้าพ่อไล่เคราะห์...
แจ้งจับหมอดู ลวงค่าพลังจิตต่ออายุ...ฯลฯ 
                พาดหัวข่าวในปัจจุบันทำให้รู้สึกหัวใจหดหู่ลงไปมาก ฐานที่เป็นคนในแวดวงหมอดูก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมคนถึงได้ใช้วิชาที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ เป็นเครื่องหากินกับศรัทธาของคนได้ถึงเพียงนี้ หรือคงเห็นว่าเป็นช่องทางที่ง่าย ไม่ต้องลงทุนก็ได้ผลตอบแทนมามากมายน่าพอใจเสียเหลือเกิน ยิ่งปัจจุบันนี้ด้วยแล้ว คนยิ่งห่วงสถานะความมั่นคงในชีวิตกันมาก พอมีหมอดูมาทักว่ามีเคราะห์ร้าย ก็อยากจะได้วิธีแก้ไข ซึ่งหมอดูที่มีศีลธรรมก็จะแนะวิถีทางที่ถูกต้องให้ไป แต่อีกด้านก็เป็นช่องทางของหมอดูประเภทหนึ่งที่คอยหากินจากความเชื่อ แนะให้ทำการแก้เคราะห์กับตน ด้วยวิธีการพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมี เงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ หมอดูประเภทนี้ทำเสมือนตนเป็นพญายมราชหรือพระเจ้าผู้ลิขิตสรรชะตาชีวิต มนุษย์เสียอย่างนั้น จะให้หมดทุกข์หมดเคราะห์เสียก็ได้ แค่ใช้วิธีการพิธีกรรมอย่างที่บอก บางรายเคราะห์ร้ายอยู่แล้วมาเจอหมอดูประเภทนี้อีก ต้องมาจ่ายค่าครูสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาเสริมดวงสารพัด หนีเสือปะจระเข้ เคราะห์หนักมากกว่าเดิมอีกทีนี้ เขาทุกข์มากอยู่แล้ว ยังเจอหมอดูที่ทำนาบนหลังคนอย่างนี้...ทุกข์มากขึ้นอีก จะให้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์ หรือ ต่อเคราะห์
                ในการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตานั้นความจริงถือว่ามีอยู่ ในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตรได้บอกกับสามเณรในสำนักของท่านว่าจะหมดอายุขัยในเย็นวันนี้ ขณะบิณฑบาตเช้าสามเณรเห็นปลาในบ่อเล็กๆที่กำลังแห้งขอดใกล้จะตาย ก็ให้นึกเวทนาสงสารยิ่งนัก จึงจับไปปล่อยในลำน้ำ เมื่อกลับถึงสำนักพระสารีบุตรรู้ด้วยวาระญาณทันที จึงบอกกับสามเณรว่าอายุของเธอยังยืนยาวต่อไปอีก เพราะกรรมดีที่เธอได้สร้าง ปลานั้นก็คือเจ้ากรรมนายเวรของเธอนั้นเองและยังมีอีกหลายเรื่องลักษณะเดียวกันนี้ จะเห็นว่าการกระทำหรือกรรม เป็นคุณเครื่องที่จะทำให้ชะตาชีวิตเราดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ กรรมดีเป็นเบื้องหลังความสุข กรรมชั่วเป็นเบื้องหลังของความทุกข์ เรามีกรรมเฉพาะตัว และตัวเราเองเป็นผู้กระทำกรรมและรับผลของกรรมนั้น ไม่เห็นจะมีผู้ใดที่ยิ่งใหญ่เกินไปกว่าอำนาจกรรมแล้วเข้ามาทำให้ชีวิตของเรา ดีขึ้นได้...นอกจากตัวของเรา ดังเรื่องของสามเณรข้างต้น จับปลาไปปล่อยแล้วพ้นวิบากอันจะมีแก่ชีวิตของตนได้ก็เพราะตนนั่นเอง ในกรณีเดียวกันผู้ที่มีเคราะห์ทั้งหลายจะพ้นเคราะห์ได้ก็ด้วยตัวเอง แต่ด้วยความที่ไม่ใช่ผู้รอบรู้...จึงต้องมีผู้แนะนำ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของหมอดูอีกเช่นเดียวกัน ที่จะต้องชี้แนะวิถีทางที่ชัดเจน..เป็นจริง..และเชื่อถือได้อย่างบริสุทธิ์ ใจ เพราะเมื่อจิตไม่ติดสงสัย ก็จะยอมรับวิถีทางที่ชี้แนะอย่างเต็มใจและเกิดกำลังใจอย่างเต็มที่ (คนที่มีทุกข์อยู่เมื่อเจอหมอดูที่ดีความทุกข์ใจนั้นหายเกินครึ่ง) เพราะบาปเป็นเบื้องหลังความทุกข์เคราะห์ร้าย และบุญเป็นที่มาแห่งความสุขโชคดี ในทางพระพุทธศาสนาจึงได้แนะให้สร้างบุญเพื่อพ้นวิบากกรรม คนที่มีเคราะห์ร้ายอันตรายถึงชีวิต เราก็แนะให้ทำบุญด้วยการให้ชีวิตเป็นทาน เช่น ปล่อยนกปล่อยปลา ไถ่ชีวิตโคกระบือหรือสัตว์ต่างๆ หากเป็นเคราะห์เกี่ยวกับทรัพย์สินก็ให้หมั่นสร้างบุญทางการก่อสร้างศาลา โบสถ์ หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เพราะเชื่อว่าย่อมทำให้ชีวิตมั่นคงเป็นปึกแผ่น ลักษณะอย่างนี้เป็นต้น
                หนทางชีวิตนั้นมีทั้งขาขึ้นและขาลง แต่คนเรามักจะทำใจยอมรับชีวิตในช่วงขาลงไม่ค่อยได้ พอมีหนทางไหนช่วยได้ก็จะเลือกหนทางเส้นทางนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก ยิ่งหากขาดซึ่งวิจารณญาณด้วยแล้ว แทนที่จะเป็นการทำให้ทุกข์คลายก็แปรเปลี่ยนเป็นที่หมายของความทุกข์หนัก เพิ่มเข้ามาแทนที่ อย่างนี้จึงไม่อาจจะรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นการสะเดาะเคราะห์หรือจะต่อเคราะห์ให้กับชีวิตของตนเอง ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ในช่วงใดทั้งขึ้นและลง พระพุทธองค์ทรงสอนให้ใช้สติคอยเตือนปัญญาเสมอ จะได้ไม่พลั้งเผลอ ยามชีวิตขึ้นสูงก็ให้รู้จักความพอดีกับชีวิต ยามตกต่ำลงก็ให้ตระหนักถึงสัจธรรมในการดำเนินชีวิต พินิจพิจารณาจากตัวของเราด้วยตนเองให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะให้คนอื่นมาพิจารณาตัวเรา เพราะเราไม่อาจล่วงรู้จิตใจของคนอื่นได้ว่า แท้จริงแล้วเขาคิดดีคิดร้าย หวังดีหรือไม่ต่อเราอย่างไร ต่อเมื่อการพิจารณาของเขาถูกต้องตรงกับชีวิตของเราและความเป็นจริงของชีวิต นั้นแหละ จึงได้เชื่อว่าเราจะยอมรับหนทางในการชี้แนะของเขาได้ และอย่าลืมว่าเราจะประสบเคราะห์ เผชิญเคราะห์ และพ้นเคราะห์ต่างๆได้ก็เพราะ...ตัวของเรานี้เอง  
 
เพิ่มกรรมดีเป็นศรีแก่ตัว ลดกรรมชั่วบรรเทาเคราะห์กรรม
 
หมอฮิปโป
๑๕/๑๑/๒๕๕๑