4 กันยายน 2555

ตามหาลัคน์

...พูดถึงเรื่องของการสอบลัคน์ในโหราศาสตร์ไทยเรานี้มีมานานแล้ว หมอดูรุ่นเก่ามักถูกถามว่าสมัยก่อนนั้น คนเกิดมาส่วนมากมักไม่ทราบเวลาเกิดของตนเอง แล้วท่านเหล่านั้นทำอย่างไร จึงจะตั้งลัคน์วางเรือนตามหลักของโหรไทยได้ คำตอบที่ได้ต่างท่านก็ต่างคำตอบ เป็นวิธีการที่จดจำสืบต่อกันมาบ้าง ประยุกต์ขึ้นเองบ้าง อย่างไหนใช้ได้ผลดีก็นำมาใช้สอบ...หาลัคนากันอย่างละเอียดตามที่แต่ละท่านจะพึงทำกันได้ ไม่มีการฉาบฉวยยกประเด็นใดประเด็นหนึ่งแล้วแทงลัคน์นั้นลัคน์นี้ แต่ต้องให้เป็นดวงตามจริงของเจ้าชะตาจริงๆ ซึ่งเราก็ไม่ทราบลึกลงไปอีกว่ามีไม้เด็ดเคล็ดลับอันใดอีกหรือไม่ แต่เท่าที่พบเห็นมาท่านบอกไม่มีอะไรมาก สอบหาลัคน์ลงรายละเอียดได้ตรงกับชีวิตเขาแล้วก็พยากรณ์ไปตามเนื้อผ้า แต่คำว่าไม่มีอะไรมากของท่านนี่แหละ ที่เป็นเรื่องยากสำหรับเรา เพราะวิธีการสอบลัคน์ของแต่ละท่านก็แตกต่างกันไป แถมยังมีเทคนิคพิเศษจดจำเฉพาะตัว แต่ท่านมักจะบอกว่าไม่มีอะไรมาก ผูกดวงผิดพยากรณ์ถูกเป็นใช้ได้ ไม่ได้เอาพื้นดวงไปทำอะไรที่ยุ่งยากมากมายกว่าการดูดวงดอกท่านก็ว่าของท่านไว้อย่างนั้น

...วิธีการที่แต่ละท่านใช้ และฉันพอรู้และจดจำได้แบบเขาว่ามาอีกที ก็มีอยู่หลายอย่าง แต่โหรที่ชำนาญท่านบูรณาการวิธีการใช้ มากกว่าการยืนกระต่ายขาเดียวบนยอดตาลแล้วกระโดดหัวทิ่มลงมา (ฮา) คือท่านมิได้ยึดมั่นถือมั่นว่าอย่างไรผิดอย่างไรถูก เพียงแต่วางลัคน์แล้วรายละเอียดถูกต้องกับชีวิตของเขา พูดอย่างนี้ฉันนึกภาพตัวเองต้องมานั่งวางลัคนาทีละราศีแล้วสอบเรือนไล่ดาวสาวหาประวัติจากตัวเจ้าชะตาทุกเม็ดปานเจียระไนเพชรก็ไม่ปาน (ฮา) แต่นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งในนั้นจริงๆ ทำได้จะดีมากแต่คงสิ้นเวลามิใช่น้อยเลยทีเดียวสำหรับฉัน

...มาว่ากันถึงวิธีการของแต่ละท่านกันบ้าง โหรเก่าๆนั้นท่านกล่าวไว้ว่าแม้จะมีเวลาเกิดสำหรับการคำนวณหาลัคนาแล้วก็อย่าวางใจ ให้สอบหาลัคนาอีกก่อนจนมั่นใจแล้วจึงลงรายละเอียดของการพยากรณ์ต่อไป จากลัคนาภาคคำนวณท่านว่าอาจมีการคลาดเคลื่อนไปได้อีกหลายราศี(บางท่านว่า ๗ ราศี บางท่านว่าทุกราศีนั้นแหละ) นี่สำหรับคนที่มีเวลาเกิดความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน ท่านจึงมองดวงที่มีเวลาเกิดและไม่มีเวลาเกิดเป็นเรื่องพอๆกัน จากคุณสมบัติของราศีและดาวทำให้มีวิธีการสอบลัคน์ได้หลายรูปแบบ ในที่นี้ก็ขอว่ากันเป็นเรื่องเบาๆสมองพอเข้าใจมากกว่าที่จะว่ากันเป็นเรื่องราวทางวิชาการ เพราะหลายท่านก็ทราบกันเป็นอันดีอยู่แล้ว

...อย่างแรกมาดูที่คุณสมบัติทางด้านรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ อันเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละราศีมีกำหนดไว้ พอโหรท่านเห็นท่านวางลัคน์ตามรูปเค้าโครงกายที่ได้พบเห็น นี่เป็นวิธีการของท่าน บางท่านก็ว่ารูปร่างหน้าตาผิวพรรณนั้นมีการเปลี่ยนแปลงกันได้ตลอด กินมากก็อ้วน ไม่มีกินก็ผอม ตากแดดตากลมมากก็กร้านดำ ศัลยกรรมก็ดูดี ความเหลื่อมล้ำตรงนี้ทำให้หาจุดวางใจในลัคนาไม่ได้ แต่ก็มีท่านเก่าๆก็แย้งว่า ไม่ได้มองแค่รูปร่างแล้วแทงเปรี้ยงเลยหรอก พอวางลัคน์แล้วก็สอบพื้นดวงดูดาวที่มันมีอิทธิพลทั้งกระดาน ว่าคนนั้นคนนี้ในวัยนั้นวัยนี้จะเป็นอย่างไร จะผอมสูงหรืออ้วนต่ำดำขาว เขาก็สอบลัคน์ลงไปอีกทีถามความเป็นไปอีกที ไม่ถูกก็วางลงใหม่สอบใหม่อีกที จนกว่าจะได้ความพึงพอใจ แล้วจึงว่ากันถึงรายละเอียดอื่นต่อไป ปัจจุบันมีหลายสายที่ใช้รูปแบบนี้และมีวิธีการเฉพาะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ดาวและราศีลงไปอีก

...อย่างที่สองบอกว่าการดูรูปร่างโครงกาย หน้าตา ผิวพรรณ อาจจะมีความเหลื่อมล้ำในการไม่วางใจในลัคนาอย่างที่กล่าวแล้ว ท่านก็ว่าให้ดูนิสัยใจคอ บุคลิกท่าทาง บางท่านบอกดูนิสัยแท้(สันดาน)ซึ่งก็ตามคุณสมบัติความหมายทางราศีอีกนั่นเอง แต่บางก็มีท่านที่ใช้ผลของการคำนวณหาตนุเศษ ที่ว่ากันว่าเป็นการทำนายจิตใจโดยเฉพาะ เพราะเป็นเศษแห่งผลการคำนวณจากลัคนา ตรงนี้ท่านก็ดูความสัมพันธ์ของดาวของราศีอีกเช่นกัน สอบลงไปเป็นชั้นเหมือนอย่างแรก แต่ก็ยังมีคนแย้งว่า นิสัยคนเรามันก็เปลี่ยนได้ตามวัย ในคนๆเดียวกันวัยเด็กนิสัยทะลึ่งตึงตังซุกซนไม่มีมารยาท บุคลิกภาพเกะกะเก้งก้างประสาเด็ก พอโตวัยศึกษาการศึกษาก็หล่อหลอมไปอีกแบบ เริ่มสนใจในเพศตรงข้ามก็วางนิสัยไปอีกแบบ พอเข้าวัยทำงานเจอสังคมสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปต้องเข้าสังคมสูงขึ้น มันก็หล่อหลอม กลับกลายเป็นนิสัยบุคลิกภาพที่ต่างกับตอนเด็กลิบลับก็มี อย่างนี้ท่านก็ว่ามิได้วางลัคน์แล้วเลยพยากรณ์ทีเดียวดอกก็สอบเป็นชั้นๆไปอีกเช่นเดียวกัน

...อย่างที่สามบอกว่าดูสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับเจ้าชะตา เช่น ตอนเกิดมาสถานที่เกิดอยู่ใกล้น้ำ มีวัด มีต้นไหม้ใหญ่ มีภูเขา มีศาลเจ้า สถานที่เกิดฝั่งตรงข้ามเป็นอะไรก็ว่าไป ฯลฯ พ่อแม่ร่ำรวย/ยากจน ทำงานอะไร ฐานะตอนนั้นดีร้าย มีพี่น้องกี่คน และอีกหลายประเด็นคำถามที่จะนำมาใช้สอบหาลัคนาเกิด ก็เรียกว่าพิจารณาจนสิ้นกระบวนความเหมือนสองวิธีการแรกเช่นกัน แต่ก็มีผู้แย้งในลักษณะของการตีความหมายของดาวของเรือน ว่าดาวนั้นเรือนนี้ความหมายมันก็เป็นอย่างนี้ได้เหมือนกัน เรียกว่ายังไม่นิ่งพอ ท่านแบบนี้ก็ว่าเหมือนสองแบบแรกว่า เอ้อ..ยังไม่ได้วางลัคน์แล้วทำนายทีเดียวดอก ยังสอบลงไปอีกเป็นชั้นๆไป

...อย่างที่สี่บอกว่าดูจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตเจ้าชะตา วิธีการนี้คือต้องตีพื้นดวงเดิมให้แตกว่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น บ่งไว้แล้วชัดเจนในพื้นดวง แล้วพิจารณาดวงจรสำทับถึงเวลาที่เกิด เหตุการณ์อีกที เช่น พ่อแม่เสียชีวิตเมื่อไร ถูกหวยได้โชคได้ลาภใหญ่ๆ ประสบอุบัติเหตุ แต่งงาน ได้บุตร ได้งาน ได้บ้าน สูญเสียของรักของชอบใจ เจ็บไข้ได้ป่วยตอนไหน และเหตุการณ์สำคัญอื่นๆอีกหลายรายการ ก็จะสามารถวางลัคนาได้ว่าถ้าวางลัคนาไว้ราศีนี้พอดูความสัมพันธ์ของดาวและเรือนต่อเนื่องไปแล้ว เป็นไปตามชีวิตของเจ้าชะตาหรือไม่ แต่บทนี้เรื่องจะไม่ถูกแย้งก็คงไม่มีอีกเช่นกัน ก็เป็นประเด็นเรื่องของการตีความในภาคพยากรณ์ ว่าใช้การพยากรณ์อย่างนั้นอย่างนี้ในลัคนาราศีอื่นก็ได้ใจความเช่นเดียวกัน ท่านในกลุ่มนี้ก็บอกเช่นเดิมกับท่านอื่น คือ ไม่ได้วางลัคน์แล้วแทงคำพยากรณ์รวดเดียวดอก ก็สอบเป็นชั้นๆไป (ฮา)

...อย่างที่ห้านี่เป็นที่จดจำมาบ้างและเป็นเทคนิคประยุกต์เฉพาะตัว กันบ้าง อย่างการใช้อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส หรือที่เรียกว่าจันทร์ คุรุ สุริยา จะตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสามตัว คือให้ดูอาทิตย์สถิตราศีไหนก็ว่าไปตามราศีนั้น นี่หลายท่านบอกกว้างมาก ราศีหนึ่งมีตั้ง ๓๐ องศา แต่ก็ยังมีคนใช้ทำนายในลักษณะกว้างๆ อย่างการทำนายดวงรายเดือนตามนิตยสารตามสื่อต่างๆ หรือกับดวงคนจริงๆเลยก็มี จันทร์ก็เหมือนกันกรณีเดียวกันเพียงแต่ว่าแคบลงมาหน่อยเพราะจันทร์เดินเร็ว ๒ วันครึ่งต่อราศีโดยประมาณ หลายท่านก็ว่ายังกว้างอยู่ดี ๒วันครึ่งคนเกิดมาเสียก็มาก ก็เลยมีการเอาเรื่องฤกษ์เข้ามาสำทับเอาอีกชั้นหนึ่งก็มี บางท่านก็ว่าดูทั้งอาทิตย์และจันทร์นั้นแหละ แล้วแต่จะให้น้ำหนักอย่างไหนมากกว่ากัน ยิ่งอาทิตย์จันทร์กุมราศีเดียวกัน ท่านก็ว่าให้วางลัคนาไว้ราศีนั้นได้เลย ท่านที่ว่าพฤหัสเป็นแหล่งกำลังดวงในราศีก็ใช้วิธีเดียวกันในการมองพฤหัส หลายท่านก็บอกดูมันทั้งสามตัวนั้นแหละ แล้วสร้างวิธีการคำนวณเฉพาะขึ้นมาอีก เป็นสุริยลัคน์ รวิลัคน์ จันทรลัคน์ อธิปติลัคน์ ลัคน์จันทร์ ดูเรือนศุภะครรลองชีวิตหรือเรือนนั้นเรือนนี้ เอาฤกษ์ล่างเข้าสอบฤกษ์บน เอาทักษามาตีความรวม ฯลฯ อะไรอย่างไรท่านก็ว่าไว้ตามวิธีการที่ท่านเห็นดีแล้วก็มีการสืบทอดกันมา

...อย่างที่หก ชักจะเยอะ ไม่รู้จะเลอะหรือเปล่า? (ฮา) แต่ก็ขอกล่าวถึงไว้ด้วย ไม่ทราบจะเป็นทัศนะใหม่ๆหรือเปล่า? หรือมีมาแต่โบราณก็ไม่ทราบได้ แต่มาเอะใจในช่วงที่โตๆแล้วได้รับสื่อมากขึ้นนี่เอง ตอนเป็นเด็กที่พอจดจำก็ไม่เห็นว่ามี(เพราะไม่รู้ว่ามีแต่กาลก่อนหรือไม่) คือวิธีการเอาหลักวิชาพยากรณ์ศาสตร์อย่างอื่นเข้าประสมด้วย ดูปูมดวงในกระดานตีคิ้วเบ้หน้าแล้วหยิบมือมาแบดูลายมือ เอาเลขเจ็ดตัวมาอ่านร่วม เอาไพ่ยิปซีขึ้นมาสับจับมาวาง ไม่รู้ถึงขนาดจะต้องเสี่ยงติ้วเซียมซีว่าลัคนาอยู่ที่ไหนด้วยหรือไม่(ฮา) ก็ว่ากันไปตามรูปแบบของแต่ละท่าน ไม่ได้มาตัดดีตัดร้ายกันอย่างกล่าวไว้แล้ว

...สรุปที่ฉันอยากบอกกล่าวจากความจำไว้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบวิธีการใดก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวเฉพาะตนของแต่ละคนไป ไม่ได้หมายความว่าอย่างไหนผิดถูกอย่างไร เพราะฉันเองก็มีโอกาสได้เห็นโหรใหญ่หลายท่านวางลัคนาดวงเดียวกันแต่ไม่เหมือนกันก็มี แต่ท่านพยากรณ์ได้ถูกต้องตรงตามชีวิตจริงของเจ้าชะตาทุกประการ แล้วท่านไม่มีการประหัตประหารน้ำใจของโหรท่านอื่น ลัคน์นั้นถูกลัคน์นี้ผิดอย่างใด เรื่องนี้คนดูสบายใจ คนหนักใจคือนักโหราศาสตร์รุ่นหลัง คือลูกศิษย์บ้าง ผู้สืบทอดบ้าง ผู้ศึกษาตำรับตำรารุ่นหลังๆบ้าง เพราะไม่รู้จะใช้วิธีการไหนดี พอจบบทความจำไว้อย่างหนึ่งว่า ท่านโหรเหล่านั้นท่านก็ใช้วิธีการบูรณาการ ไม่ยึดมั่นถือมั่นเอาทีเดียว และที่สำคัญคือสมัยก่อนไม่ว่าวิธีการไหน ท่านก็ทำแบบละเอียด ไม่ได้สุกเอาเผากิน สมกับที่ว่า...ไม่ได้วางลัคน์แล้วแทงคำพยากรณ์รวดเดียวดอก ก็สอบเป็นชั้นๆไป” (ฮา)

...ธีรพร เพชรกำแพง...๑//๒๕๕๔:๑๑.๒๒ น.