...กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉัน
วันสองวันนี้ไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้ สาเหตุเพราะความเจ็บป่วยส่วนหนึ่ง
และภาระงานอีกส่วนหนึ่ง วันนี้งานก็คลาย ร่างกายก็พอทุเลา
จะเข้ามาตอบดวงตามปกติ
เห็นว่าเป็นวันพระเลยจะขอละเว้นการพยากรณ์ไว้สักวันหนึ่ง
แล้วหันมาสนทนากันเรื่องปประสาธรรมที่พอจะเข้าใจกันง่าย ไม่เกินวิสัย
ใช้ได้จริงอย่างสุขในธรรม
...ในช่วงที่เจ็บป่วยนี้นับเป็นโอกาสดี ที่ทำให้มองเห็นความทุกข์จากสังขารอย่างชัดเจนตามกฏไตรลักษณ์ ตั้งแต่ความไม่เที่ยงแท้แปรปรวน เกิดสภาพที่ทนได้ยาก ไม่เป็นสิ่งที่สามารถบังคับควบคุมได้ จึงต้องเสวยทุกข์คือความเจ็บป่วยนั้นจนกว่ามันจะอยู่ในภาวะธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นกระแสวนเวียนอยู่อย่างนี้
..."เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้"...
...สังขารคือร่างกายจิตใจแลรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ประกอบขึ้นมาเพื่อเป็นทุกข์ อย่างการที่เราป่วยนี้ ไม่ใช่ร่างกายที่ป่วยอย่างเดียว จิตใจยังป่วยไปด้วย ความทับถมแห่งทุกข์จากร่างกายย่อมสะท้อนเข้าถึงจิตเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกายเป็นเครื่องอาศัยแห่งจิต "กายทุกข์จิตทุกข์" ในทางพระพุทธศาสนาจึงต้องมี "ธรรม" เป็นเครื่องรักษาจิตเพื่อประคองความเป็นธรรมดาไว้เสียได้จากทุกขเวทนาที่ เกิดจากกายนั้น เป็นการรู้เท่าทันในสังขารทั้งหลาย ทำให้สภาพจิตไม่มัวหมองหรือจะเรียกว่ากำลังใจไม่ตก ที่เรียกว่า "แยกกายแยกจิต" ก็เพราะอย่างนี้ คือกายทุกข์แต่จิตรู้เท่าทัน เข้าใจ ระงับ ไม่ทุกข์ได้ หากปฏิบัติได้อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าธรรมเป็นเครื่องรักษาในระดับหนึ่งแล้ว
...ในวิธีการปฏิบัตินั้นมีอยู่หลายวิธี บางคนที่ถนัดการทำสมาธิในฝ่ายสมถะ ก็จะเอาใจไปจับอยู่กับอารมณ์ที่เป็นสมาธิ เพื่อบรรเทาทุกขเวทนาจากการเจ็บป่วย แต่เมื่อออกจากอารมณ์สมาธิก็จะพบทุกขเวทนาอีก หากจะให้ได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก สมควรที่จะพิจารณาความเป็นไปของจิตที่เสวยทุกขเวทนาของสังขารด้วย คือการ "เฝ้าดู" ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอื่น ตัดความห่วงใยใดๆทิ้ง เพราะช่วงที่ป่วยอารมณ์มันจับอยู่กับตัวเองทั้งหมด "เฝ้าดู" ความเป็นไปของความเจ็บป่วยทีละน้อยๆ เรื่อยๆ บ่อย ไม่ต้องบีบบังคับจิตใจ ปล่อยการมองให้ไหลไปเรื่อยๆ พอมองเห็นความเป็นไปของสังขาร จิตจะนิ่งเข้าเป็นสมาธิในระดับที่พิจารณาตามธรรมได้ เป็นจิตที่มีกำลัง เมื่อพิจารณาสิ่งใดก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน ด้วยตนเอง ไม่ใช่จากใครมาบอกหรืออิงจากความรู้ตำราใดๆ เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นเองในใจ เมื่อเวลาผ่านไปๆทุกขเวทนานั้นก็จะหายไป พร้อมกับความบรรเทาในความเจ็บป่วย เพราะจิตเรามีกำลังในระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง
...การ "เฝ้าดูจิต" นั้นใช้ได้ทุกขณะ มิใช่แต่ตอนเจ็บป่วยอย่างเดียว แต่ฉันเห็นว่าตอนที่เราเจ็บป่วยนั้น ใจมันมุ่งเข้ามาหาตัวมากเป็นพิเศษ จึงนับเป็นโอกาสดี การเฝ้าดูจิตนี้หากทำเรื่อยๆสม่ำเสมอ จิตจะมีความหนักแน่นมั่นคง ก้าวหน้าไปไม่ถอยหลังอีก เป็นสมถะที่เอื้อต่อวิปัสสนาโดยตรง ซ้ำยังมิได้ลงทุนมากเท่ากรรมฐานกองอื่น เหมาะกับทุกจริตและทุกสภาวะจิตใจ จึงอยากฝากกัลยาณมิตรของฉันไว้เป็นเครื่องสะกิดใจ หากทำได้ปฏิบัติได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองเป็นอย่างมาก
...ช่วงเจ็บป่วยเป็นโอกาสพิเศษ ที่ใจมุ่งเข้าหาตัวเอง ควรแก่การพิจารณาธรรม
...การ "เฝ้าดูจิต" จิตย่อมหนักแน่นมีกำลัง รู้เท่าทันความเป็นไปของสังขาร
...การหมั่นเฝ้าดูจิต จิตจะมีความหนักแน่นมั่นคง ก้าวหน้าไปไม่ถอยหลังอีก
ขอความสุขกายสบายใจ จงมีแก่กัลยาณมิตรที่รักของฉันทุกคน
...ในช่วงที่เจ็บป่วยนี้นับเป็นโอกาสดี ที่ทำให้มองเห็นความทุกข์จากสังขารอย่างชัดเจนตามกฏไตรลักษณ์ ตั้งแต่ความไม่เที่ยงแท้แปรปรวน เกิดสภาพที่ทนได้ยาก ไม่เป็นสิ่งที่สามารถบังคับควบคุมได้ จึงต้องเสวยทุกข์คือความเจ็บป่วยนั้นจนกว่ามันจะอยู่ในภาวะธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นกระแสวนเวียนอยู่อย่างนี้
..."เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้"...
...สังขารคือร่างกายจิตใจแลรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ประกอบขึ้นมาเพื่อเป็นทุกข์ อย่างการที่เราป่วยนี้ ไม่ใช่ร่างกายที่ป่วยอย่างเดียว จิตใจยังป่วยไปด้วย ความทับถมแห่งทุกข์จากร่างกายย่อมสะท้อนเข้าถึงจิตเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกายเป็นเครื่องอาศัยแห่งจิต "กายทุกข์จิตทุกข์" ในทางพระพุทธศาสนาจึงต้องมี "ธรรม" เป็นเครื่องรักษาจิตเพื่อประคองความเป็นธรรมดาไว้เสียได้จากทุกขเวทนาที่ เกิดจากกายนั้น เป็นการรู้เท่าทันในสังขารทั้งหลาย ทำให้สภาพจิตไม่มัวหมองหรือจะเรียกว่ากำลังใจไม่ตก ที่เรียกว่า "แยกกายแยกจิต" ก็เพราะอย่างนี้ คือกายทุกข์แต่จิตรู้เท่าทัน เข้าใจ ระงับ ไม่ทุกข์ได้ หากปฏิบัติได้อย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าธรรมเป็นเครื่องรักษาในระดับหนึ่งแล้ว
...ในวิธีการปฏิบัตินั้นมีอยู่หลายวิธี บางคนที่ถนัดการทำสมาธิในฝ่ายสมถะ ก็จะเอาใจไปจับอยู่กับอารมณ์ที่เป็นสมาธิ เพื่อบรรเทาทุกขเวทนาจากการเจ็บป่วย แต่เมื่อออกจากอารมณ์สมาธิก็จะพบทุกขเวทนาอีก หากจะให้ได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก สมควรที่จะพิจารณาความเป็นไปของจิตที่เสวยทุกขเวทนาของสังขารด้วย คือการ "เฝ้าดู" ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอื่น ตัดความห่วงใยใดๆทิ้ง เพราะช่วงที่ป่วยอารมณ์มันจับอยู่กับตัวเองทั้งหมด "เฝ้าดู" ความเป็นไปของความเจ็บป่วยทีละน้อยๆ เรื่อยๆ บ่อย ไม่ต้องบีบบังคับจิตใจ ปล่อยการมองให้ไหลไปเรื่อยๆ พอมองเห็นความเป็นไปของสังขาร จิตจะนิ่งเข้าเป็นสมาธิในระดับที่พิจารณาตามธรรมได้ เป็นจิตที่มีกำลัง เมื่อพิจารณาสิ่งใดก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน ด้วยตนเอง ไม่ใช่จากใครมาบอกหรืออิงจากความรู้ตำราใดๆ เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นเองในใจ เมื่อเวลาผ่านไปๆทุกขเวทนานั้นก็จะหายไป พร้อมกับความบรรเทาในความเจ็บป่วย เพราะจิตเรามีกำลังในระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง
...การ "เฝ้าดูจิต" นั้นใช้ได้ทุกขณะ มิใช่แต่ตอนเจ็บป่วยอย่างเดียว แต่ฉันเห็นว่าตอนที่เราเจ็บป่วยนั้น ใจมันมุ่งเข้ามาหาตัวมากเป็นพิเศษ จึงนับเป็นโอกาสดี การเฝ้าดูจิตนี้หากทำเรื่อยๆสม่ำเสมอ จิตจะมีความหนักแน่นมั่นคง ก้าวหน้าไปไม่ถอยหลังอีก เป็นสมถะที่เอื้อต่อวิปัสสนาโดยตรง ซ้ำยังมิได้ลงทุนมากเท่ากรรมฐานกองอื่น เหมาะกับทุกจริตและทุกสภาวะจิตใจ จึงอยากฝากกัลยาณมิตรของฉันไว้เป็นเครื่องสะกิดใจ หากทำได้ปฏิบัติได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเองเป็นอย่างมาก
...ช่วงเจ็บป่วยเป็นโอกาสพิเศษ ที่ใจมุ่งเข้าหาตัวเอง ควรแก่การพิจารณาธรรม
...การ "เฝ้าดูจิต" จิตย่อมหนักแน่นมีกำลัง รู้เท่าทันความเป็นไปของสังขาร
...การหมั่นเฝ้าดูจิต จิตจะมีความหนักแน่นมั่นคง ก้าวหน้าไปไม่ถอยหลังอีก
ขอความสุขกายสบายใจ จงมีแก่กัลยาณมิตรที่รักของฉันทุกคน