...กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉัน
วันนี้เป็นวันพระ ของดการพยากรณ์ดวงชะตาไว้สักวันหนึ่ง
ลองหันมาคุยเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะกันบ้าง
เพื่อที่ว่าจะได้เป็นการยกระดับจิตให้เกิดความสบายใจ
บันเทิงธรรมคลายออกจากความทุกข์
ที่คนเราล้วนเกิดมาเพื่อเสวยผลแห่งทุกข์นั้น
สิ่งใดที่เป็นข้อคิดประเทืองสติปัญญาได้บ้างขอให้เก็บไว้
สิ่งใดที่ใช้ไม่ได้ตรองแล้วว่าไม่เหมาะสมกับตน ก็วางไว้ในกระทู้นี้
ให้ทำตนเหมือนนายมาลัยกาลผู้ชำนาญสันทัดการจัดดอกไม่มาร้อยเป็นพวงมาลัย
ดอกใดดีก็ร้อยดอกใดเสียก็ทิ้งไปฉันนั้น
...พูดถึงเรื่องกรรม ทุกวันนี้คนหันมาให้ความสนใจกันมาก ถึงขนาดกับมีนักพยากรณ์ในรูปแบบที่แปลกใหม่ขึ้นในวงการ "หมอดูกรรม" กล่าวกันว่าสิ่งที่นำมาใช้ในการดูหรือพยากรณ์นั้นคืออำนาจจิตพิเศษ ที่สามารถบอกถึงอดีตชาติและการรับผลของกรรมในชาตินี้ พร้อมทั้งวิธีการแก้ไขต่างๆให้เสร็จสรรพ ซึ่งจะจริงหรือไม่อย่างไรในที่นี้ไม่ได้เข้าไปเจาะลึกตรงนั้น แต่เราจะมาว่ากันถึงโครงสร้างของกรรม แล้วนำไปพินิจคิดตรองดูเอาเองว่า กรรมของตนนั้นเป็นเช่นไร ต้องให้ใครมาบอกหรือไม่? แล้วสิ่งที่ "หมอดูกรรม" พยากรณ์เป็นคุ้งเป็นแควนั้นถูกต้อง หรือเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมา
...ขออ้างไปถึงกระทู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้
130. pom [202.176.102.45] 30 Jan 2011 - 21:10
คุณบงกชคะ
มีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะค่ะ
เคยได้ยินบางท่านกล่าวว่า ความเป็นไปในชาตินี้เกิดจากบุญเก่าและกรรมเก่า
ส่วนบุญใหม่และกรรมใหม่จะไปใช้กันในชาติหน้า
แต่บางคนก็ว่า ทำบุญในชาตินี้เพื่อบรรเทากรรมเก่า
ในทัศนะของท่านบงกช มีความคิดเห็นอย่างไรคะ ขอเรียนปรึกษาค่ะ
...ตามที่คุณ pom ได้ถามมานั้นเราจะเห็นได้ว่าเป็นความเห็นที่ถูก..แต่ยังถูกไม่หมดเสียที เดียวนัก เพราะเรื่องโครงสร้างของกรรมเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และสาวหาที่มาที่ไปได้ยาก ในพระพุทธศาสนาก็ยังบ่งไว้ว่าเป็นเรื่อง "อจินไตย" เป็นเรื่องที่ไม่ควรหยิบมาคิดมาสงสัย ยิ่งคิดยิ่งสงสัยก็ยิ่งคิดไม่ออกหาเหตุผลไม่ได้ เรียกว่าคิดจนเป็นบ้าเป็นหลังก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้อยู่ดี ยากต่อการกล่าวอ้างและค้นคว้าหาหลักฐานต่อการพิสูจน์ เรื่องกรรมจึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างหนึ่งในการที่จะ "รู้"โดยตลอดละเอียดถี่ถ้วน
...กรรมวิบาก การตอบสนองของกรรมนั้นมีอยู่ในทุกสภาวะที่เราเกิด การสร้างเหตุแห่งกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมตามเหตุเป็นวัฏจักรกระแสที่ ไหลไปตราบใดที่เรายังมีการเกิดอยู่ ท่านถึงว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุแห่งทุกข์จากกรรมที่เป็นการกระทำในอดีต และการกระทำในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหนทางและการกระทำให้สิ้นทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔
...โครงสร้างแห่งกรรมนั้นมีบ่งไว้ในพระบาลีบทที่ว่าด้วย อะภิณหะปัจจะเวกข์ ซึ่งหากเราศึกษาให้ดีจะเห็นตั้งแต่เหตุแห่งการเกิดกรรม ครรลองของกรรม การรับผลของกรรม และให้มองเห็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่อง "ธรรมดา" จะขอยกพระบาลีประกอบดังนี้
...ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราทำกรรมใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ดีหรือชั่วก็ตาม ตัสสะ ทายาโทภะวิสสามิ เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
...หากศึกษาพระบาลีบทนี้ให้แตกฉาน ก็จะเข้าใจความเป็นธรรมดาของกรรม แล้วรู้ว่าควรจะสร้างเหตุสร้างปัจจัยแห่งกรรมอย่างไร ควรครองใจอย่างไรเมื่อรับผลแห่งกรรม และควรรู้ความเป็นไปของกรรมที่เรียกว่าเป็นตัวเลือกแห่งทิศทางในการประกอบ กรรม โครงสร้างสายใยหรือกระแสของการกระทำนั้นมีความต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน โดยการรับผลเสวยผลมีอยู่ตลอดมีอยู่ทุกขณะจิต โครงสร้างของกรรมประดุจพันธนาการที่เกิดซ้ำต่อเนื่องเหมือนการหมุนวนที่เรา มักเปรียบกับการหมุนของล้อเกวียน จนมีสำนวนกำเกวียนกงเกวียน กงกรรมกงเกวียน
...การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นโครงสร้างของการกระทำ ต่อไป ในอนาคต การกระทำนั้นให้ผลเป็นการกระทำเดียวกันหรือการกระทำที่มีลักษณะจากผลที่ เหมือนกัน เช่น สมมติเราเอาไม้ทุบตีใครสักคนหนึ่ง ผลที่เราได้รับอาจจะได้รับเดี๋ยวนั้นทันที คือการถูกคนที่ราตี ตีกลับเข้าบ้าง นี่เรียกว่ากรรมให้ผลทันทีในรูปแบบการกระทำเดียวกัน แต่ถ้ายังไม่ได้รับผลกรรมตอนนั้น ต่อไปก็อาจถูกคนที่เราตีตามมาแก้แค้น ซึ่งวิธีแก้แค้นจะเป็นการตีหัววิธีเดิม หรือไม่จำเป็นต้องเป็นการตีหัวก็ได้ อาจจะเป็นวิธีอื่น เช่น ใช้หนังสะติ๊ก ปืนผาหน้าไม้ มีด จ้างวานคนมาฆ่า กลั่นแกล้งในงาน นี่เรียกว่ารับผลกรรมต่างเวลาและผลที่ให้ต่างลักษณะ...แต่เหตุเดียวกัน หากอุปมากรรมคืออาหารสักจัน เมื่อเรารับประทานเข้าไปในอาหารนั้นย่อมมีสารต่างๆมากมาย ทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษ เมื่อสร้างกรรม (กิน) กรรมนั้น (อาหาร) ก็จะแสดงผลออกมาอย่างแรกคือปกติของกรรมย่อมทำให้รู้ว่าการกระทำนั้นสำเร็จ แล้ว (คืออิ่ม) คือกระทำเสร็จแล้วรู้ผลในระดับหนึ่ง แต่อีกระดับที่ว่า "โครงสร้างกรรมต่อเนื่องไป" คือสารที่อยู่ในอาหารให้ผลเป็นประโยชน์ในการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น วิตามิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ และสารที่เป็นโทษ เช่น สารก่อมะเร็ง เชื้อโรค สารพิษตกค้าง ฯลฯ คราวนี้เมื่อสะสมนานวันเข้าผลที่ได้ของกรรมครั้งนี้ก็มีทั้งดีและเสีย ประโยชน์ของอาหารทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ถ้าวันหนึ่งกรรมด้านลบให้ผลก็จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา และที่เกริ่นไว้ว่า "การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นโครงสร้างของการ กระทำต่อไปในอนาคต" แสดงว่าการกระทำนั้นต้องเกิดขึ้นอีก เหมือนเราต้องรับประทานอาหารอีก แต่อาหารนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารเดิมก็ได้ (กรรมเปลี่ยนรูปแบบ) แต่อาหารนั้นก็ยังคงมีสารอาหารสู่วัฏจักรเหมือนเดิม
...ในโหราศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน แม้ดาวดวงเดียวกันโคจรมาที่เดิมตำแหน่งเดิม ก็ยังให้ผลไม่เหมือนกัน เป็นไปตามเวลาและสภาวะแวดล้อม เช่นในวันเด็กดาวอังคารให้โทษเจ็บป่วยผ่าตัด ในวัยทำงานดาวอังคารให้คุณในความขยันขันแข็งได้รับผลดีจากหน้าที่การงาน ในวัยกลางคนดาวอังคารทำให้กลายเป็นคนดันทุรังเป็นบ้าเป็นหลัง วัยสูงอายุดาวอังคารส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงแต่เป็นคนเฉื่อยชา อย่างนี้ก็เป็นได้
...เพราะฉะนั้นการไปยึดวิบากกรรมว่าเป็นเรื่องตายตัว แล้วจินตนาการเป็นตะเรื่องราวขึ้นมา จึงไม่นับว่าถูกต้อง เช่น คนหนึ่งบ้านไฟไหม้ ไปรับการพยากรณ์กรรมบอกว่า ในอดีตชาติเคยเผาบ้านคนอื่น นี่ยังไม่ถือว่าถูกต้องทั้งหมด เพราะเราเองก็ไม่ทราบด้วยว่าอดีตเราทำอย่างนั้นจริงๆหรือไม่ ด้วยอจินไตยเรื่องกรรมดังว่า แต่เราก็ต้องดูโครงสร้างกรรมอย่างที่บอก การที่บ้านคนหนึ่งถูกไฟไหม้ แสดงว่ามีการทำลายที่อยู่อาศัยเป็นกรรมตัวต้น ส่วนตัวขยายคือการไปเผาบ้านคนอื่นก็ได้ เอาไม้สอยรังนกร่วงทิ้ง เอาน้ำหยอดรูมด เอารถแทร็กเตอร์ดันจอมปลวกทิ้ง ฯลฯ แล้วกรรมจึงมาส่งผล หรือปัจจุบันชาติไม่เคยซ่อมบำรุงสายไฟในบ้าน วางปัจจัยเกิดเพลิงไม่เหมาะสม การถูกกลั่นแกล้งเพราะไปทับเส้นเป็นเรื่องกับใครมา จะเห็นว่าการรับผลกรรมต่างเวลาและผลที่ให้ต่างลักษณะ...แต่เหตุเดียวกัน อย่างที่กล่าวแล้ว
...จากกระทู้ของคุณ pom จะเห็นไดว่าคนเรานั้นต้องเสวยกรรมในอดีตเป็นเหตุเป็นปัจจัยมานั้นถูกแล้ว และปัจจุบันกรรมก็จะเป็นเหตุปัจจัยเมื่อเวลาผ่านไปในอนาคตด้วย แต่สิ่งที่ดูไม่เข้ากับโครงสร้างของกรรมคือประโยคที่ว่า ส่วนบุญใหม่และกรรมใหม่จะไปใช้กันในชาติหน้า แต่บางคนก็ว่า ทำบุญในชาตินี้เพื่อบรรเทากรรมเก่า กรรมนั้นส่งผลให้ได้ตลอด อย่างการปลูกข้าวยังไม่ได้เก็บเกี่ยววันนี้แต่เมื่อครบกำหนดสามเดือนสี่ เดือนก็ย่อมได้เก็บเกี่ยว กรรมที่ทำซ้ำๆเป็นการย้ำโครงสร้างกรรม เวลารับผลของกรรมก็จะมีความรุนแรงหรือมากขึ้นได้ เช่น พระองคุลีมาล ก่อนนั้นฆ่าทีละคน แต่เวลาเสวยกรรมชาวบ้านขว้างปาหินใส่ไม่รู้กี่สิบคน คือลักษณะผลของกรรมมากขึ้น กรณีเดียวกันพระโมคคัลลานะก็ถูกโจรห้าร้อยคนทุบตีจนกระดูกแตกละเอียด ถึงทั้งสองท่านเป็นพระอรหันต์แล้วกรรมก็ยังส่งผล เพียงแต่ท่านรู้และเข้าใจในเหตุอย่างลึกซึ้งจึงรับผลของกรรมโดยมิได้ปฏิเสธ
...โครงสร้างของกรรมนั้นหาเหตุผลมาอธิบายได้ยาก สิ้นจากพระพุทธองค์ผู้ทรงปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ และพระญาณอันประเสริฐทั้งหลาย การที่จะรู้เห็นเรื่องกรรมชนิดเห็นชัดประดุจมองสิ่งของในเวลากลางวันแสงจัด ย่อมไม่มี พระอรหันตสาวกและพระอริยบุคคลการรู้เห็นยังมีระดับชั้นลดหลั่นกันลงมา เรื่องของกรรมจึงเป็นอจินไตยอธิบายเท่าไรก็ไม่สิ้นกระบวนความ จึงอยากฝากให้ผู้ที่สนใจในเรื่องของกรรมได้คิดพิจารณา และผู้ที่เป็นนักพยากรณ์กรรม ผู้ที่ชอบดูดวงกับหมอดูกรรมก็ดี ฉันไม่ได้ปฏิเสธว่าใครทำได้หรือไม่ได้ แต่ต้องการให้ตระหนักในเรื่องโครงสร้างของกรรมนี้ให้มาก สุดท้ายขอฝากตามที่ได้เกริ่นไว้ว่า
...โครงสร้างกรรมมีอยู่ในพระบาลีบทที่ว่า อะภิณหะปัจจะเวกข์ ศึกษาทำความเข้าใจได้
...กรรมวิบาก เป็นเรื่องอจินไตย
...การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นโครงสร้างของการกระทำต่อไป
...การรับผลกรรมไม่จำเป็นต้องตายตัวเป็นแม่สูตรคูณ การรับผลกรรมต่างเวลาและผลที่ให้ต่างลักษณะ...แต่เหตุเดียวกัน
...ในโหราศาสตร์/พยากรณ์ศาสตร์ แม้ปัจจัยพยากรณ์หมุนวนมาเช่นเดิม แต่ผลที่ให้ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม
...ขอให้กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉันมีความสุข พ้นจากความทุกข์ด้วยการตระหนักในโครงสร้างของกรรม และดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีงาม จนกว่าจะสิ้นเหตุแห่งโครงสร้างกรรม ขอความสุขในธรรมจงมีแก่ทุกท่าน
...พูดถึงเรื่องกรรม ทุกวันนี้คนหันมาให้ความสนใจกันมาก ถึงขนาดกับมีนักพยากรณ์ในรูปแบบที่แปลกใหม่ขึ้นในวงการ "หมอดูกรรม" กล่าวกันว่าสิ่งที่นำมาใช้ในการดูหรือพยากรณ์นั้นคืออำนาจจิตพิเศษ ที่สามารถบอกถึงอดีตชาติและการรับผลของกรรมในชาตินี้ พร้อมทั้งวิธีการแก้ไขต่างๆให้เสร็จสรรพ ซึ่งจะจริงหรือไม่อย่างไรในที่นี้ไม่ได้เข้าไปเจาะลึกตรงนั้น แต่เราจะมาว่ากันถึงโครงสร้างของกรรม แล้วนำไปพินิจคิดตรองดูเอาเองว่า กรรมของตนนั้นเป็นเช่นไร ต้องให้ใครมาบอกหรือไม่? แล้วสิ่งที่ "หมอดูกรรม" พยากรณ์เป็นคุ้งเป็นแควนั้นถูกต้อง หรือเป็นเรื่องที่จินตนาการขึ้นมา
...ขออ้างไปถึงกระทู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้
130. pom [202.176.102.45] 30 Jan 2011 - 21:10
คุณบงกชคะ
มีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะค่ะ
เคยได้ยินบางท่านกล่าวว่า ความเป็นไปในชาตินี้เกิดจากบุญเก่าและกรรมเก่า
ส่วนบุญใหม่และกรรมใหม่จะไปใช้กันในชาติหน้า
แต่บางคนก็ว่า ทำบุญในชาตินี้เพื่อบรรเทากรรมเก่า
ในทัศนะของท่านบงกช มีความคิดเห็นอย่างไรคะ ขอเรียนปรึกษาค่ะ
...ตามที่คุณ pom ได้ถามมานั้นเราจะเห็นได้ว่าเป็นความเห็นที่ถูก..แต่ยังถูกไม่หมดเสียที เดียวนัก เพราะเรื่องโครงสร้างของกรรมเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และสาวหาที่มาที่ไปได้ยาก ในพระพุทธศาสนาก็ยังบ่งไว้ว่าเป็นเรื่อง "อจินไตย" เป็นเรื่องที่ไม่ควรหยิบมาคิดมาสงสัย ยิ่งคิดยิ่งสงสัยก็ยิ่งคิดไม่ออกหาเหตุผลไม่ได้ เรียกว่าคิดจนเป็นบ้าเป็นหลังก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้อยู่ดี ยากต่อการกล่าวอ้างและค้นคว้าหาหลักฐานต่อการพิสูจน์ เรื่องกรรมจึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างหนึ่งในการที่จะ "รู้"โดยตลอดละเอียดถี่ถ้วน
...กรรมวิบาก การตอบสนองของกรรมนั้นมีอยู่ในทุกสภาวะที่เราเกิด การสร้างเหตุแห่งกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลของกรรมตามเหตุเป็นวัฏจักรกระแสที่ ไหลไปตราบใดที่เรายังมีการเกิดอยู่ ท่านถึงว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ พระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุแห่งทุกข์จากกรรมที่เป็นการกระทำในอดีต และการกระทำในปัจจุบัน ตลอดจนถึงหนทางและการกระทำให้สิ้นทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔
...โครงสร้างแห่งกรรมนั้นมีบ่งไว้ในพระบาลีบทที่ว่าด้วย อะภิณหะปัจจะเวกข์ ซึ่งหากเราศึกษาให้ดีจะเห็นตั้งแต่เหตุแห่งการเกิดกรรม ครรลองของกรรม การรับผลของกรรม และให้มองเห็นเรื่องของกรรมเป็นเรื่อง "ธรรมดา" จะขอยกพระบาลีประกอบดังนี้
...ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ด้วยกันหมดทั้งสิ้น
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ยัง กัมมัง กะริสสามิ เราทำกรรมใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา ดีหรือชั่วก็ตาม ตัสสะ ทายาโทภะวิสสามิ เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
...หากศึกษาพระบาลีบทนี้ให้แตกฉาน ก็จะเข้าใจความเป็นธรรมดาของกรรม แล้วรู้ว่าควรจะสร้างเหตุสร้างปัจจัยแห่งกรรมอย่างไร ควรครองใจอย่างไรเมื่อรับผลแห่งกรรม และควรรู้ความเป็นไปของกรรมที่เรียกว่าเป็นตัวเลือกแห่งทิศทางในการประกอบ กรรม โครงสร้างสายใยหรือกระแสของการกระทำนั้นมีความต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน โดยการรับผลเสวยผลมีอยู่ตลอดมีอยู่ทุกขณะจิต โครงสร้างของกรรมประดุจพันธนาการที่เกิดซ้ำต่อเนื่องเหมือนการหมุนวนที่เรา มักเปรียบกับการหมุนของล้อเกวียน จนมีสำนวนกำเกวียนกงเกวียน กงกรรมกงเกวียน
...การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นโครงสร้างของการกระทำ ต่อไป ในอนาคต การกระทำนั้นให้ผลเป็นการกระทำเดียวกันหรือการกระทำที่มีลักษณะจากผลที่ เหมือนกัน เช่น สมมติเราเอาไม้ทุบตีใครสักคนหนึ่ง ผลที่เราได้รับอาจจะได้รับเดี๋ยวนั้นทันที คือการถูกคนที่ราตี ตีกลับเข้าบ้าง นี่เรียกว่ากรรมให้ผลทันทีในรูปแบบการกระทำเดียวกัน แต่ถ้ายังไม่ได้รับผลกรรมตอนนั้น ต่อไปก็อาจถูกคนที่เราตีตามมาแก้แค้น ซึ่งวิธีแก้แค้นจะเป็นการตีหัววิธีเดิม หรือไม่จำเป็นต้องเป็นการตีหัวก็ได้ อาจจะเป็นวิธีอื่น เช่น ใช้หนังสะติ๊ก ปืนผาหน้าไม้ มีด จ้างวานคนมาฆ่า กลั่นแกล้งในงาน นี่เรียกว่ารับผลกรรมต่างเวลาและผลที่ให้ต่างลักษณะ...แต่เหตุเดียวกัน หากอุปมากรรมคืออาหารสักจัน เมื่อเรารับประทานเข้าไปในอาหารนั้นย่อมมีสารต่างๆมากมาย ทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษ เมื่อสร้างกรรม (กิน) กรรมนั้น (อาหาร) ก็จะแสดงผลออกมาอย่างแรกคือปกติของกรรมย่อมทำให้รู้ว่าการกระทำนั้นสำเร็จ แล้ว (คืออิ่ม) คือกระทำเสร็จแล้วรู้ผลในระดับหนึ่ง แต่อีกระดับที่ว่า "โครงสร้างกรรมต่อเนื่องไป" คือสารที่อยู่ในอาหารให้ผลเป็นประโยชน์ในการเจริญเติบโตของร่างกาย เช่น วิตามิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ และสารที่เป็นโทษ เช่น สารก่อมะเร็ง เชื้อโรค สารพิษตกค้าง ฯลฯ คราวนี้เมื่อสะสมนานวันเข้าผลที่ได้ของกรรมครั้งนี้ก็มีทั้งดีและเสีย ประโยชน์ของอาหารทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ถ้าวันหนึ่งกรรมด้านลบให้ผลก็จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา และที่เกริ่นไว้ว่า "การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นโครงสร้างของการ กระทำต่อไปในอนาคต" แสดงว่าการกระทำนั้นต้องเกิดขึ้นอีก เหมือนเราต้องรับประทานอาหารอีก แต่อาหารนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารเดิมก็ได้ (กรรมเปลี่ยนรูปแบบ) แต่อาหารนั้นก็ยังคงมีสารอาหารสู่วัฏจักรเหมือนเดิม
...ในโหราศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน แม้ดาวดวงเดียวกันโคจรมาที่เดิมตำแหน่งเดิม ก็ยังให้ผลไม่เหมือนกัน เป็นไปตามเวลาและสภาวะแวดล้อม เช่นในวันเด็กดาวอังคารให้โทษเจ็บป่วยผ่าตัด ในวัยทำงานดาวอังคารให้คุณในความขยันขันแข็งได้รับผลดีจากหน้าที่การงาน ในวัยกลางคนดาวอังคารทำให้กลายเป็นคนดันทุรังเป็นบ้าเป็นหลัง วัยสูงอายุดาวอังคารส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงแต่เป็นคนเฉื่อยชา อย่างนี้ก็เป็นได้
...เพราะฉะนั้นการไปยึดวิบากกรรมว่าเป็นเรื่องตายตัว แล้วจินตนาการเป็นตะเรื่องราวขึ้นมา จึงไม่นับว่าถูกต้อง เช่น คนหนึ่งบ้านไฟไหม้ ไปรับการพยากรณ์กรรมบอกว่า ในอดีตชาติเคยเผาบ้านคนอื่น นี่ยังไม่ถือว่าถูกต้องทั้งหมด เพราะเราเองก็ไม่ทราบด้วยว่าอดีตเราทำอย่างนั้นจริงๆหรือไม่ ด้วยอจินไตยเรื่องกรรมดังว่า แต่เราก็ต้องดูโครงสร้างกรรมอย่างที่บอก การที่บ้านคนหนึ่งถูกไฟไหม้ แสดงว่ามีการทำลายที่อยู่อาศัยเป็นกรรมตัวต้น ส่วนตัวขยายคือการไปเผาบ้านคนอื่นก็ได้ เอาไม้สอยรังนกร่วงทิ้ง เอาน้ำหยอดรูมด เอารถแทร็กเตอร์ดันจอมปลวกทิ้ง ฯลฯ แล้วกรรมจึงมาส่งผล หรือปัจจุบันชาติไม่เคยซ่อมบำรุงสายไฟในบ้าน วางปัจจัยเกิดเพลิงไม่เหมาะสม การถูกกลั่นแกล้งเพราะไปทับเส้นเป็นเรื่องกับใครมา จะเห็นว่าการรับผลกรรมต่างเวลาและผลที่ให้ต่างลักษณะ...แต่เหตุเดียวกัน อย่างที่กล่าวแล้ว
...จากกระทู้ของคุณ pom จะเห็นไดว่าคนเรานั้นต้องเสวยกรรมในอดีตเป็นเหตุเป็นปัจจัยมานั้นถูกแล้ว และปัจจุบันกรรมก็จะเป็นเหตุปัจจัยเมื่อเวลาผ่านไปในอนาคตด้วย แต่สิ่งที่ดูไม่เข้ากับโครงสร้างของกรรมคือประโยคที่ว่า ส่วนบุญใหม่และกรรมใหม่จะไปใช้กันในชาติหน้า แต่บางคนก็ว่า ทำบุญในชาตินี้เพื่อบรรเทากรรมเก่า กรรมนั้นส่งผลให้ได้ตลอด อย่างการปลูกข้าวยังไม่ได้เก็บเกี่ยววันนี้แต่เมื่อครบกำหนดสามเดือนสี่ เดือนก็ย่อมได้เก็บเกี่ยว กรรมที่ทำซ้ำๆเป็นการย้ำโครงสร้างกรรม เวลารับผลของกรรมก็จะมีความรุนแรงหรือมากขึ้นได้ เช่น พระองคุลีมาล ก่อนนั้นฆ่าทีละคน แต่เวลาเสวยกรรมชาวบ้านขว้างปาหินใส่ไม่รู้กี่สิบคน คือลักษณะผลของกรรมมากขึ้น กรณีเดียวกันพระโมคคัลลานะก็ถูกโจรห้าร้อยคนทุบตีจนกระดูกแตกละเอียด ถึงทั้งสองท่านเป็นพระอรหันต์แล้วกรรมก็ยังส่งผล เพียงแต่ท่านรู้และเข้าใจในเหตุอย่างลึกซึ้งจึงรับผลของกรรมโดยมิได้ปฏิเสธ
...โครงสร้างของกรรมนั้นหาเหตุผลมาอธิบายได้ยาก สิ้นจากพระพุทธองค์ผู้ทรงปุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ และพระญาณอันประเสริฐทั้งหลาย การที่จะรู้เห็นเรื่องกรรมชนิดเห็นชัดประดุจมองสิ่งของในเวลากลางวันแสงจัด ย่อมไม่มี พระอรหันตสาวกและพระอริยบุคคลการรู้เห็นยังมีระดับชั้นลดหลั่นกันลงมา เรื่องของกรรมจึงเป็นอจินไตยอธิบายเท่าไรก็ไม่สิ้นกระบวนความ จึงอยากฝากให้ผู้ที่สนใจในเรื่องของกรรมได้คิดพิจารณา และผู้ที่เป็นนักพยากรณ์กรรม ผู้ที่ชอบดูดวงกับหมอดูกรรมก็ดี ฉันไม่ได้ปฏิเสธว่าใครทำได้หรือไม่ได้ แต่ต้องการให้ตระหนักในเรื่องโครงสร้างของกรรมนี้ให้มาก สุดท้ายขอฝากตามที่ได้เกริ่นไว้ว่า
...โครงสร้างกรรมมีอยู่ในพระบาลีบทที่ว่า อะภิณหะปัจจะเวกข์ ศึกษาทำความเข้าใจได้
...กรรมวิบาก เป็นเรื่องอจินไตย
...การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อทำแล้วก็จะเป็นโครงสร้างของการกระทำต่อไป
...การรับผลกรรมไม่จำเป็นต้องตายตัวเป็นแม่สูตรคูณ การรับผลกรรมต่างเวลาและผลที่ให้ต่างลักษณะ...แต่เหตุเดียวกัน
...ในโหราศาสตร์/พยากรณ์ศาสตร์ แม้ปัจจัยพยากรณ์หมุนวนมาเช่นเดิม แต่ผลที่ให้ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม
...ขอให้กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉันมีความสุข พ้นจากความทุกข์ด้วยการตระหนักในโครงสร้างของกรรม และดำเนินชีวิตไปในทางที่ดีงาม จนกว่าจะสิ้นเหตุแห่งโครงสร้างกรรม ขอความสุขในธรรมจงมีแก่ทุกท่าน