๕ ๗ เจ้าสมญา
พิจารณาโชคเคราะห์
ตอน โชคเคราะห์ในดวงเดิม
ธีรพร เพชรกำแพง
“เวลาสรุปเป็นคำพยากรณ์เราจะไม่นำความหมายเหล่านั้นมาชั่งน้ำหนักแล้วทอนคุณทอนโทษกันและกัน
อย่างที่บอกว่า “โชคส่วนโชค เคราะห์ส่วนเคราะห์” ย่อมให้ผลได้เสมอกันไม่มีการลดทอนกันเอง”
สุริยคติวันอาทิตย์ ที่ ๒๓ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ เวลา ๖.๒๗
นาที เชียงใหม่
จันทรคติวันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา เบญจศก จุลศักราช ๑๓๕๕ อธิกมาส
จันทรคติวันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา เบญจศก จุลศักราช ๑๓๕๕ อธิกมาส
กัลยาณมิตรอันเป็นที่รัก
เคยได้กล่าวถึงการพิจารณาโชคเคราะห์จากดาวใหญ่ทั้งสองดวงตามแบบโบราณคือ ๕ และ ๗
ซึ่งเรานำมาใช้ประกอบการอ่านดวงจรกันแล้ว
ในครั้งนี้จะได้นำเอาหลักการเดียวกันนี้พิจารณา “โชคเคราะห์” ในดวงเดิมหรือจะเรียกว่า “โอกาส-อุปสรรค”
อันมีอยู่ในชะตากำเนิดแล้วจักเชื่อมโยงเกี่ยวพันไปถึงดวงจรด้วย
ในการพิจารณาดวงเดิมนั้นจำเป็นอยู่แล้วที่จะต้องพิจารณาตัวตนเจ้าชะตาจาก ลัคนา
ตนุลัคน์ ตนุเศษ อาทิตย์ จันทร์ ฯลฯ เพื่อให้ทราบความเป็นไปในชีวิตของเจ้าชะตา
ซึ่งกัลยาณมิตรนักโหราศาสตร์พึงได้พิจารณาเป็นกิจอยู่แล้ว
จึงไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้
แต่จะขอพุ่งมุ่งตรงลงประเด็นในการพิจารณาตามสมญาลักษณ์ที่โบราณท่านใช้ดูโชคเคราะห์
คือ ๕ และ ๗ กันเลยทีเดียว โดยเหตุท่านตั้ง..จะทายโชคให้ดู ๕ จะทายเคราะห์ให้ดู ๗
ซึ่งเราก็เอามาพิจารณาพื้นดวงเดิม คือ ใช้ ๕ ดูโอกาส จุดเด่น จุดดี , ใช้ ๗
ดูอุปสรรค จุดด้อย ข้อบกพร่อง
นี้เป็นสมญาวิชาที่ท่านให้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ดีร้ายไว้เป็นระบบโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง
แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับทางเดิม เพราะเอาความหมายพฤติการณ์ดาวมาเป็นสมญา
เวลาใช้จึงไม่ขัดเขินใจนัก (แต่ก็อย่าเข้าใจว่าเป็นเนื้อเดียวกัน)
เริ่มปักหลักที่ ๕ เดิมในดวงชะตา
สถิตราศีกันย์(ประ) เรือนปุตตะ
แสดงว่าโชคหรือโอกาสของเจ้าชะตาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้
เจ้าชะตาจะมีความเด่นในการปฏิบัติ การลำดับขั้นตอนของชีวิต(กันย์)
การแสดงออกทางบุคลิกภาพ การกระทำให้เป็นที่ประจักษ์(ปุตตะ) โดยการนั้นจะต้องเป็นที่ไม่ปกติดังทั่วไป
คือโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หรือกระทำการอย่างใดมากกว่าปกติ(๕
ประ) ลองดูทางเรือนเพื่อสืบความในฐานที่ ๕ มาปักหลักพิจารณาโชคตรงนี้ ได้ความว่า ๔
เจ้าเรือนปุตตะ ไปสถิตเรือนตนุ ส่วน ๖ ตนุลัคน์ไปสถิตเรือนลาภะ
๔ เจ้าเรือนปุตตะ การลงทุน การศึกษา
การพัฒนาสมองความคิด ไปสถิตเรือนตนุที่มี ๑,๒ ร่วมอยู่
หมายถึงร่างกายและอารมณ์ก็ได้รับการพัฒนาด้วย สะท้อนถึง ๖ ตนุลัคน์สถิตเรือนลาภะ
อ่านขยายถึงความสำเร็จ ความราบรื่น หากพยากรณ์ให้สมตามวัยนี้ ควรจะได้ว่า “เจ้าชะตามีโอกาสหรือโชคทางด้านการเรียนการศึกษาเพื่อพัฒนาสติปัญญาตนจนประสบความสำเร็จ” นั่นเอง (ซึ่งในช่วงวัยทำงานให้พิจารณา ๔
นั้นในความหมายกดุมภะอีกทางด้วย)
พิจารณา ๕
โชคที่ว่านี้ย่อมต้องมาจากการลงมือปฏิบัติ การใช้ความคิดร่วมกับการกระทำ
เหนื่อยกับการใช้ความคิดใหญ่จำกัดงานให้แคบลง(กันย์,๕ ประ)
ต้องเผชิญกับการจัดตนเองให้ถูกสัดถูกส่วนเข้ากับลักษณะงานที่ไม่ค่อยคงเส้นคงวานัก(๕
เล็ง ๖)
การกระทำหรือกิจกรรมนั้นจะได้รับการส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จจากบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง
เพื่อนร่วมงาน สิ่งแวดล้อมและหมู่คณะอันเป็นมิตร(๓ โยกหลัง ๕ , ๘ โยกหน้า ๕)
เรียกว่ามีความเป็นสหายุตภาวะ คือสามารถที่จะพึ่งพาอาศัยมิตรสหายคนรอบข้างได้
อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเจ้าชะตาที่มีการกลั่นกรองความคิดความอ่าน
การพูดการกระทำแสดงออก เกินวัยไปในทางที่ดีเป็นที่รักของบุคคลทั่วไป(๑,๒,๔
ร่วมธาตุ ๕) เจ้าชะตาจะต้องเผชิญกับการปรับเปลี่ยนความรู้ ทักษะ
สิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่ๆอยู่ตลอด(๐ เกณฑ์ ๕)
และอีกเรื่องซึ่งจะโยงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องโชคหรือโอกาสก็คือ การพิจารณา ๗
หรือการทายเคราะห์ อุปสรรค
อันจะมีผลทานกันในเรื่องของความเป็นโชคเป็นเคราะห์นี้เอง แต่ในทีนี้จะขอแยกให้เห็นเป็นประเด็นไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
แล้วเอามาตีค่าหาชั่งว่าจะเหลือร้ายเหลือดีเท่าไร การทำอย่างนั้นถือว่าไม่สมควร
เพราะโชคก็ส่วนโชค เคราะห์ก็ส่วนเคราะห์นั้นเอง
๗ สถิตราศีกุมภ์ เรือนกัมมะ เป็นตนุเศษด้วย
เมื่อเราตั้งสมญาเคราะห์ให้กับ ๗ แล้วจะเห็นว่าเคราะห์หรืออุปสรรคของเจ้าชะตานั้นจึงต้องเกี่ยวข้องกับเรือนกัมมะ
คือเรื่องของการงานนั้นเอง ส่วนจะเป็นไปในทิศทางไหนพึงค่อยๆพิจารณาไปตามลำดับ
๘ คือเจ้าเรือนกัมมะ สถิตเรือนปัตนิ ๓
เจ้าการปัตนิก็สถิตในสหัสชะ แนวโน้มเรื่องการงานของเจ้าชะตาโดยอ่านทางเรือนมีอยู่ว่า
กัมมะ-ปัตนิ-สหัสชะ “การงานที่ทำแบบมีส่วนร่วมจากสิ่งแวดล้อม(คน
เวลา ทรัพยากร สถานที่)”
หากนำรูปดาวเข้าพิจารณาด้วยจะเป็นว่า ๘ กัมมะ(อุจ)- ๓
ปัตนิ(นิจ)-สหัสชะ “การงานที่ต้องมีผู้ร่วมมาก แต่หาผู้กระทำได้น้อย”
หรือ “การร่วมงานใหญ่ที่คนสนับสนุนน้อย” นี่คือความหมายเรื่องการงานที่ยังไม่ได้ระบุไปในทางดีหรือทางร้าย
ต่อเมื่อเรานำ ๗ เคราะห์/อุปสรรคมาจับในเรือนกัมมะ
จึงพิจารณาตามสมญาเหตุไว้จากทางเรือนประการหนึ่ง และอีกประการคือโดยสภาพแห่ง ๗
ที่เข้ามากระทำนั้นเองด้วย
ปัญหาอุปสรรคของเจ้าชะตาคือเรื่องของการงาน
การสร้างสมความเป็นอยู่ การพัฒนาคุณภาพชีวิต(๗ ในเรือนกัมมะ)
ที่จะต้องใช้สติปัญญาไหวพริบ
การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและมุ่งกระทำให้ทันกาลสมัยอยู่ตลอด(กุมภ์)
อันเป็นงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก
ใช้วิธีการเฉพาะที่มีผู้กระทำได้น้อยในการทำงาน (สรุปจากย่อหน้าที่แล้ว)
ซึ่งมักจะติดขัดในเรื่องของผู้ร่วมงานที่ขาดความรู้ความเข้าใจ
การสื่อสารแสดงออกทางอารมณ์หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน(๑,๒,๔ เกณฑ์(หน่วง) ๗)
ความสำเร็จในงานมักมีความล่าช้า พอเริ่มจะเข้าที่เข้าทางก็มักมีความเปลี่ยนแปลงไป
เป็นความสำเร็จที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก (๓,๕ ก่ออุปสรรค ๗)
หากจะมอง ๗
ตนุเศษในแง่ที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคด้วย
คือเรื่องความมั่นคงทางจิตใจของเจ้าชะตาต่อการงานที่มีความอดทนมุ่งมั่นเป็นพักๆและไม่ชอบการถูกจำกัดทางด้านความคิดและการกระทำ(ลมกลางธาตุ)
ข้อดีคือการไม่ละความพยายามในการคิดแก้ไขปัญหาทางการงานจนกว่าจะประสบความสำเร็จ
เรียกว่าไม่วางธุระนั่นเอง
ทีนี้เวลาสรุปเป็นคำพยากรณ์เราจะไม่นำความหมายเหล่านั้นมาชั่งน้ำหนักแล้วทอนคุณทอนโทษกันและกัน
อย่างที่บอกว่า “โชคส่วนโชค เคราะห์ส่วนเคราะห์”
ย่อมให้ผลได้เสมอกันไม่มีการลดทอนกันเอง เพราะนี่เป็นพื้นดวงจึงขึ้นอยู่กับ “เวลา” ว่าจะเกิดเหตุการณ์เมื่อไร
เงื่อนไขในขณะนั้นจะเป็นตัวบอกความหนักเบาและความหมายว่าจะเป็นอย่างไร
เงื่อนไขเดิมจะเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงไรหรือไม่เกิดเลย
ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขขณะที่เราพิจารณานั้นด้วยนั่นเอง
โชคเคราะห์ตามพื้นดวงเดิมของเจ้าชะตาพอสรุปคำพยากรณ์ได้ว่า
เจ้าชะตามีโอกาสหรือโชคในเรื่องของการเรียนการศึกษาในวัยนี้
หากวัยต่อไปคือเรื่องของการลงทุนการสร้างสมคุณค่าฐานะความเป็นอยู่
การได้รับความอุปถัมภ์ค้ำชูจากการเป็นคนมีความคิดความอ่านอันเป็นที่รัก
ส่วนอุปสรรคนั้นเนื่องด้วยการงานที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะของเจ้าชะตาที่ไม่สมกับลักษณะงานที่เกินตัว
หากเจ้าชะตาคิดแก้ปัญหาเป็นลำดับขั้นและเอาใจใส่ไม่วางธุระ
อุปสรรคในงานนั้นก็จะสำเร็จลงได้
อีกประการพองานจะมีความมั่นคงก็มักจะมีความหวั่นไหวให้ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
จากการพิจารณานี้ทำให้เราเห็นโชคเคราะห์ในดวงเดิม
หรือที่เรียกว่า “โอกาสและอุปสรรค”
โดยการพิจารณาจากดาวใหญ่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานพระเคราะห์ด้านดีและร้าย คือ ๕ ๗
เพื่อให้เห็นความเป็นไปในพื้นดวงของเจ้าชะตา
พร้อมทั้งเป็นประโยชน์ในการพิจารณาดวงจร อนึ่งเราจะเห็นว่าโบราณท่านวาง ๕ ๗
ของท่านลอยไว้เฉยๆแล้วประกอบสมญาดีร้ายเข้ากับนัยแห่งลักษณะดาว
การดึงเอาความหมายอื่นมาเพิ่มจึงเป็นไปเพื่อการขยายเท่านั้น
ไม่ควรนำมาประกบจนเสียรูปความหมายสมญานั้นไป เพราะหลักที่ท่านตั้งนี้ก็คือ “ระบบโหราศาสตร์”
ที่แยกจากโหราศาสตร์แต่มีความแนบเนียนใช้เข้ากันได้อย่างดี หลักการสร้าง “ระบบ” ก็มีอยู่ว่า “มี ดี เป็น” คือเชื่อว่ามีอยู่ ใช้แล้วดี เป็นผลตามนั้น
เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลาย เวลาจะใช้ระบบโหราศาสตร์พึงพิจารณาถึงที่มาที่ไป
หลักคิด ความเข้ากันได้ โหรโบราณเก่าก่อนท่านถึงย้ำสติอยู่เสมอว่า “ให้นึกถึงความเป็นเหตุเป็นผลเข้าไว้”
ขอความสุขจงเกิดมีแก่เจ้าชะตา
และกัลยาณมิตรอันเป็นที่รักทั้งหลาย ขอจิตจงประดับด้วยสติปัญญา
มีความผาสุกสวัสดิ์มั่นคงในการดำเนินชีวิต ประสบกับสิ่งดี คนดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
สร้างบารมีของตนสืบต่อไปเถิด d