...กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉัน
วันนี้เป็นวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
มีความสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่เราท่านรู้กันคือ วันมาฆบูชา
เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาสาม
ประการ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี้เป็นหลักการสำคัญที่มีอยู่และสอดรับขึ้นไป ศีล
สมาธิ และปัญญา โดยการปฏิบัติ
ส่วนรายละเอียดสำคัญปลีกย่อยอื่นๆกัลยาณมิตรหลายท่านทราบกันดีอยู่แล้ว
ขอกล่าวนำพอเป็นเครื่องตระหนักถึงความสำคัญของวันพระวันนี้
วันที่ฉันของดการพยากรณ์อีกหนึ่งวัน
...มีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งถามเกี่ยวกับเรื่องของแนวทางการวางใจ อ่านจากเรื่องสรุปได้ว่าเป็นการวางใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และท่านมีปฏิปทาที่จะไม่กลับมาเกิดอีก นับเป็นเรื่องดีที่น่าอนุโมทนา เมื่อจิตมีความเบื่อในสังขารความปรุงแต่งทั้งหลายของชีวิตแล้วย่อมมุ่งหา ความสงบหลุดพ้นความดับที่ไม่มีเชื้อติดไฟขึ้นมาอีก เราท่านทั้งหลายเป็นผู้อยู่ในกระแสโลกธรรมมีความได้ก็มีความเสื่อมเป็น เรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นชัดในการครองชีวิตทุกยุคทุกสมัยทุกภพทุกชาติที่มีการ เกิด เมื่อไม่มีการเกิดย่อมไม่มีความเสื่อมครอบงำ การปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงพระนิพพานนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนัก เข้าใจ และหมั่นสร้างเหตุปัจจัยในบารมีที่เกื้อต่อการถึงพระนิพพานไว้บ่อยๆ
...ในเรื่องของการวางใจนั้น เราต้องรู้ธรรมชาติของใจเสียก่อน ใจเรานั้นมีธรรมชาติอยู่สองอย่างคือ พอใจกับไม่พอใจ ธรรมชาติสองอย่างนี้เองเป็นเหตุทำให้เกิดสุขทุกข์ทั้งหลายอันเกิดจากใจ ใจเราจะเข้าไปเกาะไปจับกับอารมณ์ธรรมชาติสองส่วนนี้ เมื่อพอใจ ความไม่พอใจก็จะหายไป เมื่อไม่พอใจความพอใจก็จะหายไป เมื่อทราบธรรมชาติสองส่วนนี้แล้ว เราต้องเอาธรรมชาติหนึ่งของจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง คือ การตามรู้ เมื่อรู้เท่าทันในอารมณ์นั้นแล้วต้องตระหนัก เข้าใจ รู้เท่าทันในอารมณ์อย่างแท้จริง ก่อนที่จะวางเฉย เมื่อตามดูจิตรู้ชัดแล้วก็วางมันเสีย ปล่อยมันเสีย ให้ความเป็นปกติธรรมดาเกิดขึ้นกับเรา ทำอย่างนี้จนชิน เรียกว่าการตามดูจิต ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆจักเกิด เราย่อมมีความหนักแน่นของจิตเป็นเครื่องรองรับ ความรู้เท่าทันเป็นเครื่องกลั่นกรอง การวางใจเสียได้ทำให้เราไม่ทุกข์มากจากเหตุการณ์นั้น(เมื่อทำจนชำนาญอาการ ทุกข์มักไม่ปรากฏแก่จิตเลย) การตามดูจิตอย่างรู้เท่าทันนี้ทำได้ทุกอารมณ์ทุกสถานการณ์ ถึงจะไม่ได้เห็นผลทันที แต่เป็นการสะสมการฝึกจิตที่จะไม่ถอยหลังหรือลดระดับลงมาอีกแน่นอน ช่วงแรกอาจจะยากเพราะต้องฝืนใจ แต่เมื่อทำไปจนเคยชินแล้ว ไม่ว่าอารมณ์ใดกระทบมันก็กลายเป็นความรู้สึกธรรมดา มีปัญหาก็สมารถแก้ไขได้ตามเรื่องตามเหตุตามผล
...เมื่อตามดูจิต รู้เท่าทันจิต แล้วจะทราบได้เองว่าการวางใจนั้นจะต้องทำเช่นไร เพราะความรู้แจ้งเห็นชัดตามอารมณ์ จิตย่อมวางความเป็นกลางความเป็นธรรมดา ตามกำลังอำนาจแห่งปัญญาที่ได้รับจากการปฏิบัตินั้น
...ฉันใช้หลักโหราศาสตร์ไทยตามแบบฉบับที่สืบทอดกันมาพยากรณ์ให้กับ กัลยาณมิตร ความรู้จึงแคบไม่ได้กว้างขวางอะไรออกไป เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่สอนเพิ่มเติม มีก็แต่การศึกษาต่อยอดจากพื้นฐานเดิมที่ถูกกับจริตจิตใจเท่านั้น เรื่องเลขเจ็ดตัวตอนเป็นเด็กประถมชอบใช้มาก เพราะง่ายต่อการตั้งดวง ตอนนั้นเล่นพลิกแพลงแปลงคิดสูตรเอาทักษา เอายามอัฐกาล อะไรเข้ามาใส่ แล้วก็พยากรณ์กันในกลุ่มเพื่อนๆ ครูบ้าง พ่อแม่เพื่อนฝากดวงมาดูบ้าง สนุกกับการดูดวงในช่วงนั้น พอเริ่มโตมาหน่อยก็ใช้โหราศาสตร์ไทยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แต่เลขเจ็ดตัวก็ยังคงใช้บ้างแต่ใช้แค่สี่ฐาน ฉันนั้นสมองทึ่มๆความจำไม่ค่อยดีจำถึงเก้าฐานไม่ไหว ก็เลยใช้ดวงอีแปะธรรมดาในการตรวจดวง
...การพิจารณาดวงนั้นต้องเข้าใจว่าเรามองแง่มุมใดเข้ามาหาดวง จึงจะถอดดวงออกมาเป็นคำพยากรณ์ได้ เมื่อมองเข้ามาจากแง่มุมใดแล้ว พิจารณาเงื่อนไขใดจะเกิดหรือไม่เกิด เกิดแบบรุนแรง เกิดแบบบางส่วน หรือไม่เกิดเลย เพราะดวงนั้นมีหลายแง่มุม เมื่อจับด้านหนึ่งย่อมเกี่ยวข้องกับอีกหลายด้าน ตามน้ำหนักของเรื่องที่เรายกมาเป็นประเด็น ไม่ว่าจะเป็นพยากรณ์ศาสตร์ใดก็ต้องพิจารณาเหมือนกันอย่างนี้ ประกอบกับจะต้องเข้าใจดีว่าการดูดวงดูไปเพื่ออะไร อะไรต้องดู อะไรไม่ต้องดู อะไรเป็นจุดประสงค์ที่แท้ของโหราศาสตร์หรือพยากรณ์ศาสตร์ และสิ่งเหล่านั้นมีไว้เพื่ออะไร มีไว้ทำไม มีไว้ใช้อย่างไร เมื่อศึกษาจุดใหญ่ที่ครอบคลุมอยู่จนเข้าใจแล้ว การใช้โหราศาสตร์หรือพยากรณ์ศาสตร์ก็จะเป็นไปโดยหมดความลังเลสงสัย จะดูแม่นหรือไม่แม่น ก็ไม่ใช่เหตุผลเด่นประเด็นสำคัญอะไร เพราะโหราศาสตร์/พยากรณ์ศาสตร์จะหล่อหลอมให้ตระหนักและเข้าใจดี นักพยากรณ์ปัจจุบันมุ่งในหลักวิชากันมาก หลักเดิมไม่ถึงใจก็สร้างหรือหาหลักใหม่เพิ่มเข้ามาอีก ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของการพัฒนากันไป แต่จะถูกทางหรือไม่ก็ว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากฝากไว้คือการมีความคิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ การใช้โหราศาสตร์/พยากรณ์ศาสตร์ เมื่อเข้าใจหลักใหญ่การใช้ในส่วนย่อยๆอย่างการพยากรณ์ก็จะสามารถทำได้ดีตาม ระดับความรู้ความสามารถของตนเอง
...กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉัน วันนี้เป็นวันพระ ขอให้ท่านทั้งหลายทำความผ่องใสให้เกิดขึ้นในจิตอันเป็นกุศล และต้องขอขอบพระคุณท่านที่ให้ความเป็นห่วงและอำนวยพร ขอให้คุณงามความดีใดๆจงประสบแก่ท่านด้วยเช่นเดียวกัน สุขภาพของฉันจากการรักษาก็ดีขึ้นโดยลำดับ ขอกัลยาณมิตรไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องการตอบดวงนั้นอาจจะช้าบ้างก็ต้องขออภัย เพราะอย่างที่กล่าวไว้ จะตอบเท่าที่สามารถจะตอบได้ในแต่ละวัน ก็คิดว่าคงไล่กันทันกับกัลยาณมิตรที่เข้ามาถามใหม่ๆ การได้สร้างความสุขเล็กๆแม้ทางใจให้ท่าน...ฉันก็มีความสุขแล้ว ขอกัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉันจงเจริญด้วยความสุขกายสบายใจทุกท่านเถิด
ธีรพร เพชรกำแพง
...มีกัลยาณมิตรท่านหนึ่งถามเกี่ยวกับเรื่องของแนวทางการวางใจ อ่านจากเรื่องสรุปได้ว่าเป็นการวางใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และท่านมีปฏิปทาที่จะไม่กลับมาเกิดอีก นับเป็นเรื่องดีที่น่าอนุโมทนา เมื่อจิตมีความเบื่อในสังขารความปรุงแต่งทั้งหลายของชีวิตแล้วย่อมมุ่งหา ความสงบหลุดพ้นความดับที่ไม่มีเชื้อติดไฟขึ้นมาอีก เราท่านทั้งหลายเป็นผู้อยู่ในกระแสโลกธรรมมีความได้ก็มีความเสื่อมเป็น เรื่องธรรมดา เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นชัดในการครองชีวิตทุกยุคทุกสมัยทุกภพทุกชาติที่มีการ เกิด เมื่อไม่มีการเกิดย่อมไม่มีความเสื่อมครอบงำ การปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงพระนิพพานนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนัก เข้าใจ และหมั่นสร้างเหตุปัจจัยในบารมีที่เกื้อต่อการถึงพระนิพพานไว้บ่อยๆ
...ในเรื่องของการวางใจนั้น เราต้องรู้ธรรมชาติของใจเสียก่อน ใจเรานั้นมีธรรมชาติอยู่สองอย่างคือ พอใจกับไม่พอใจ ธรรมชาติสองอย่างนี้เองเป็นเหตุทำให้เกิดสุขทุกข์ทั้งหลายอันเกิดจากใจ ใจเราจะเข้าไปเกาะไปจับกับอารมณ์ธรรมชาติสองส่วนนี้ เมื่อพอใจ ความไม่พอใจก็จะหายไป เมื่อไม่พอใจความพอใจก็จะหายไป เมื่อทราบธรรมชาติสองส่วนนี้แล้ว เราต้องเอาธรรมชาติหนึ่งของจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง คือ การตามรู้ เมื่อรู้เท่าทันในอารมณ์นั้นแล้วต้องตระหนัก เข้าใจ รู้เท่าทันในอารมณ์อย่างแท้จริง ก่อนที่จะวางเฉย เมื่อตามดูจิตรู้ชัดแล้วก็วางมันเสีย ปล่อยมันเสีย ให้ความเป็นปกติธรรมดาเกิดขึ้นกับเรา ทำอย่างนี้จนชิน เรียกว่าการตามดูจิต ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆจักเกิด เราย่อมมีความหนักแน่นของจิตเป็นเครื่องรองรับ ความรู้เท่าทันเป็นเครื่องกลั่นกรอง การวางใจเสียได้ทำให้เราไม่ทุกข์มากจากเหตุการณ์นั้น(เมื่อทำจนชำนาญอาการ ทุกข์มักไม่ปรากฏแก่จิตเลย) การตามดูจิตอย่างรู้เท่าทันนี้ทำได้ทุกอารมณ์ทุกสถานการณ์ ถึงจะไม่ได้เห็นผลทันที แต่เป็นการสะสมการฝึกจิตที่จะไม่ถอยหลังหรือลดระดับลงมาอีกแน่นอน ช่วงแรกอาจจะยากเพราะต้องฝืนใจ แต่เมื่อทำไปจนเคยชินแล้ว ไม่ว่าอารมณ์ใดกระทบมันก็กลายเป็นความรู้สึกธรรมดา มีปัญหาก็สมารถแก้ไขได้ตามเรื่องตามเหตุตามผล
...เมื่อตามดูจิต รู้เท่าทันจิต แล้วจะทราบได้เองว่าการวางใจนั้นจะต้องทำเช่นไร เพราะความรู้แจ้งเห็นชัดตามอารมณ์ จิตย่อมวางความเป็นกลางความเป็นธรรมดา ตามกำลังอำนาจแห่งปัญญาที่ได้รับจากการปฏิบัตินั้น
...ฉันใช้หลักโหราศาสตร์ไทยตามแบบฉบับที่สืบทอดกันมาพยากรณ์ให้กับ กัลยาณมิตร ความรู้จึงแคบไม่ได้กว้างขวางอะไรออกไป เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่สอนเพิ่มเติม มีก็แต่การศึกษาต่อยอดจากพื้นฐานเดิมที่ถูกกับจริตจิตใจเท่านั้น เรื่องเลขเจ็ดตัวตอนเป็นเด็กประถมชอบใช้มาก เพราะง่ายต่อการตั้งดวง ตอนนั้นเล่นพลิกแพลงแปลงคิดสูตรเอาทักษา เอายามอัฐกาล อะไรเข้ามาใส่ แล้วก็พยากรณ์กันในกลุ่มเพื่อนๆ ครูบ้าง พ่อแม่เพื่อนฝากดวงมาดูบ้าง สนุกกับการดูดวงในช่วงนั้น พอเริ่มโตมาหน่อยก็ใช้โหราศาสตร์ไทยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ แต่เลขเจ็ดตัวก็ยังคงใช้บ้างแต่ใช้แค่สี่ฐาน ฉันนั้นสมองทึ่มๆความจำไม่ค่อยดีจำถึงเก้าฐานไม่ไหว ก็เลยใช้ดวงอีแปะธรรมดาในการตรวจดวง
...การพิจารณาดวงนั้นต้องเข้าใจว่าเรามองแง่มุมใดเข้ามาหาดวง จึงจะถอดดวงออกมาเป็นคำพยากรณ์ได้ เมื่อมองเข้ามาจากแง่มุมใดแล้ว พิจารณาเงื่อนไขใดจะเกิดหรือไม่เกิด เกิดแบบรุนแรง เกิดแบบบางส่วน หรือไม่เกิดเลย เพราะดวงนั้นมีหลายแง่มุม เมื่อจับด้านหนึ่งย่อมเกี่ยวข้องกับอีกหลายด้าน ตามน้ำหนักของเรื่องที่เรายกมาเป็นประเด็น ไม่ว่าจะเป็นพยากรณ์ศาสตร์ใดก็ต้องพิจารณาเหมือนกันอย่างนี้ ประกอบกับจะต้องเข้าใจดีว่าการดูดวงดูไปเพื่ออะไร อะไรต้องดู อะไรไม่ต้องดู อะไรเป็นจุดประสงค์ที่แท้ของโหราศาสตร์หรือพยากรณ์ศาสตร์ และสิ่งเหล่านั้นมีไว้เพื่ออะไร มีไว้ทำไม มีไว้ใช้อย่างไร เมื่อศึกษาจุดใหญ่ที่ครอบคลุมอยู่จนเข้าใจแล้ว การใช้โหราศาสตร์หรือพยากรณ์ศาสตร์ก็จะเป็นไปโดยหมดความลังเลสงสัย จะดูแม่นหรือไม่แม่น ก็ไม่ใช่เหตุผลเด่นประเด็นสำคัญอะไร เพราะโหราศาสตร์/พยากรณ์ศาสตร์จะหล่อหลอมให้ตระหนักและเข้าใจดี นักพยากรณ์ปัจจุบันมุ่งในหลักวิชากันมาก หลักเดิมไม่ถึงใจก็สร้างหรือหาหลักใหม่เพิ่มเข้ามาอีก ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของการพัฒนากันไป แต่จะถูกทางหรือไม่ก็ว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากฝากไว้คือการมีความคิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ การใช้โหราศาสตร์/พยากรณ์ศาสตร์ เมื่อเข้าใจหลักใหญ่การใช้ในส่วนย่อยๆอย่างการพยากรณ์ก็จะสามารถทำได้ดีตาม ระดับความรู้ความสามารถของตนเอง
...กัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉัน วันนี้เป็นวันพระ ขอให้ท่านทั้งหลายทำความผ่องใสให้เกิดขึ้นในจิตอันเป็นกุศล และต้องขอขอบพระคุณท่านที่ให้ความเป็นห่วงและอำนวยพร ขอให้คุณงามความดีใดๆจงประสบแก่ท่านด้วยเช่นเดียวกัน สุขภาพของฉันจากการรักษาก็ดีขึ้นโดยลำดับ ขอกัลยาณมิตรไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเรื่องการตอบดวงนั้นอาจจะช้าบ้างก็ต้องขออภัย เพราะอย่างที่กล่าวไว้ จะตอบเท่าที่สามารถจะตอบได้ในแต่ละวัน ก็คิดว่าคงไล่กันทันกับกัลยาณมิตรที่เข้ามาถามใหม่ๆ การได้สร้างความสุขเล็กๆแม้ทางใจให้ท่าน...ฉันก็มีความสุขแล้ว ขอกัลยาณมิตรอันเป็นที่รักของฉันจงเจริญด้วยความสุขกายสบายใจทุกท่านเถิด
ธีรพร เพชรกำแพง